Dating with thai girls

Dating with thai girls
Dating with thai girls

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2557

หญ้าฮี๋ยุ่ม...สมุนไพรคืนความสาว

หญ้าฮี๋ยุ่ม


ชื่อพ้อง: หญ้าหมอยแม่หม้าย ขนหมอยแม่ม่าย (สตูล) หญ้าเหล็กไผ่ (สุราษฎร์ธานี) หญ้าอีเหนียว (ชัยนาท) เหนียวหมา (ระนอง) barbed grass
ชื่อวิทยาศาสตร์: Centotheca lappacea (L.) Desv.
ชื่อวงศ์: Poaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์: เป็นพืชมีอายุหลายปี ลำต้นสูง 50 - 70 เซนติเมตร ใบมีขนาดกว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 6.5 – 15.0 เซนติเมตร ตามลำต้น กาบใบ และตัวใบจะเห็นเส้นใบลายเป็นทางยาวชัดเจน ใบมีขน ขอบใบเรียบ บางครั้งเป็นคลื่นเล็กๆ ทั้งสองด้าน ลิ้นใบ (ligule) เป็นแผ่นบางๆ สีน้ำตาล (membranous) สูง 2 - 3 มิลลิเมตร ช่อดอกแบบ panicle ยาว 15 - 43 เซนติเมตร ช่อดอกย่อย (spikelets) มี 2 - 3 ดอก ดอกมีสีเขียว ยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร ก้านสั้นๆ ที่กาบดอกด้านล่างหรือที่ lemma มีลักษณะคล้ายหนามแหลมเล็ก ๆ จะติดไปกับเสื้อผ้าขณะเดินผ่าน ทำให้แพร่กระจายได้ง่าย ขยายพันธุ์โดยเมล็ดหรือท่อนพันธุ์ สัตว์ชอบกินปานกลาง การเจริญหลังการตัดหรือหลังสัตว์แทะเล็มช้า แต่ทนร่มเงามาก (ข้อมูลจาก nutrition.dld.go.th/.../Centotheca%20%20latifolia.htm)
ข้อมูลการใช้ประโยชน์: มีข้อมูลการใช้ในหมู่เกาะ Rotunma (ซึ่งตั้งอยู่ใกล้บริเวณมหาสมุทรแปซิฟิก) ใช้ใบหญ้าฮี๋ยุ่มในการรักษาโรคติดเชื้อ (McClatchey Will, 1996) นอกจากนี้ถูกระบุว่าใช้เป็นพืชสมุนไพรที่มีชื่อเสียงของแอฟริกา (แต่ไม่ระบุสรรพคุณ) (Whistler WA, 1991) ส่วนในหนังสือชื่อ CRC world dictionary of medicinal and poisonous plants ที่แต่งโดยนาย Umberto Quattrocchi (2012) ได้กล่าวถึงว่าเป็นพืชที่ใช้ในการแพทย์พื้นบ้านในเอเชียโดยใช้วิธีการต้มรักษาภาวะเลือดออกในช่องคลอด (vaginal bleeding)
ข้อมูลเกี่ยวกับการวิจัย: พบว่าหญ้าฮี๋ยุ่มอายุ 45 วัน ประกอบไปด้วยคุณค่าทางอาหาร ดังนี้ โปรตีน 10.1 –18.5 เปอร์เซ็นต์ ฟอสฟอรัส 0.18 – 0.25 เปอร์เซ็นต์ โพแทสเซียม 1.54 – 2.46 เปอร์เซ็นต์ แคลเซียม 0.33 – 0.84 เปอร์เซ็นต์ ADF 29.8 – 41.3 เปอร์เซ็นต์ NDF 53.9 - 69.7 เปอร์เซ็นต์ DMD 41.7 – 60.3 เปอร์เซ็นต์ (โดยวิธี Nylon bag) ลิกนิน 6.5 - 9.1 เปอร์เซ็นต์ (ข้อมูลจาก nutrition.dld.go.th/.../Centotheca%20%20latifolia.htm)
หญ้าหียุ่ม คืนความสาวให้ทันใจ ....... หญ้าสมุนไพร รู้ใจหญิงหลังคลอด
​ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อสมุนไพรต้นนี้ ถึงกับต้องถามซ้ำอีกครั้ง แต่ก็ได้รับคำตอบเดิม พ่อหมอพูดชื่อนี้อย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่ได้กระดากเขินอายใดๆ อันเป็นปกติธรรมดาของคนพื้นบ้านที่มักเรียกต้นไม้ตามสรรพคุณอย่างตรงๆ ไม่ถือว่าหยาบคายแต่อย่างใด ผิดกับคนเมืองที่รู้สึกว่าเรื่องทางเพศเป็นสิ่งที่ไม่ควรนำมาพูดอย่างเปิดเผยเพราะเป็นสิ่งที่น่าอับอาย ขนาดผู้ถามซึ่งคุ้นเคยกับชื่อสมุนไพรที่อาจทำให้หลายๆ คนอายม้วนหรือตีหน้าเจี๋ยมเจี้ยม ก็ยังอึ้งไปเล็กน้อย ช่างเป็นหญ้าที่ชื่อแปลกจริงๆ แต่รู้ว่าต้องใช้กับผู้หญิงอย่างแน่นอน
​ครั้นพอได้รู้ความหมายของคำว่า “ยุ่ม” ก็หมดสงสัย ยุ่ม เป็นคำในภาษาอีสาน หมายถึง รัดเข้า บีบ รวบเข้าไว้ด้วยกัน ทำให้แน่นขึ้น เช่น ยุ่มปากถุงไม่ให้คลายออก ดังนั้นสมุนไพรที่ได้ชื่อว่า หญ้าหียุ่ม ก็เนื่องจากคนโบราณนำมาใช้แล้ว เห็นถึงสรรพคุณของหญ้าชนิดนี้ว่า ช่วยให้น้องหนูของผู้หญิงที่คลอดลูก “ยุ่ม” เข้าหากัน คือ กลับมากระชับเหมือนเดิมนั่นเอง
​พ่อหมอแม่หมอเมืองเลยช่วยกันบรรยายสรรพคุณของสมุนไพรชนิดนี้ปนเสียงหัวเราะและรอยยิ้มว่า “คนแต่ก่อน เพินออกลูกแล้ว มดลูกมันหย่อน บ่อเข้าอู่ บางเทือเป็นแผลฉีก ฝีเย็บขาด อักเสบได้ ผู้เฒ่าเพินกะให้เอาหญ้าหียุ่มนี่แล้ว มาต้มฮม ต้มกิน รักษาแผลให้ยุ่มเข้า กินแล้วท้องสบาย บีบมดลูกให้แห้งเข้า ขับน้ำคาวปลา ฮมบาดแผลให้แห้งเร็ว เห็นแต่หายดีคือเก่า ปานบ่อมีลูก มีผัวพู่นตั้ว”

ยารม คืนความกระชับ ไม่ต้องนับวันรอ
​นอกจากเมืองเลยแล้ว ที่บ้านดงบัง จังหวัดปราจีนบุรี แหล่งปลูกสมุนไพรเกษตรอินทรีย์ ก็ใช้หญ้าหียุ่มในผู้หญิงหลังคลอดทำให้มดลูกเข้าอู่เร็วมาตั้งแต่สมัยโบราณเช่นกัน คุณสำเเนียง ภรรยาคุณสมัย คูณสุข ผู้นำกลุ่มสมุนไพรบ้านดงบัง เล่าให้ฟังว่า เคยใช้ตอนออกลูกครั้งแรก ตามวิธีการที่คนเฒ่าคนแก่บอก คือ ให้เอาขอนดอก คือ ขอนไม้ที่ผุ มาจุดไฟ แล้วเอาหญ้าหียุ่มทั้งห้า สดหรือแห้งก็ได้ มากำใหญ่ วางบนขอนดอกที่ก่อไฟไว้ จะเกิดควันขึ้น จากนั้นผู้หญิงก็นุ่งผ้าซิ่นโดยถอดกางเกงในออก แล้วให้ไปยืนกวมหรือคร่อมขอนแล้วให้ถ่างผ้าถุงออกกว้าง ๆ ให้ควันของหญ้าหียุ่มรมเข้าไปในผ้าถุงตรงบริเวณปากช่องคลอด จะทำให้คืนความกระชับ มดลูกเข้าอู่เร็ว ให้ทำวันละ 2-3 ครั้ง คุณสำเนียงยืนยันว่า ทำแล้วให้รู้สึกว่าดีจริง การจะมีอะไรกันหลังมีลูก สามีก็ไม่ต้องรอนาน การรมนั้นอาจใช้วิธีนั่งถ่านแล้วใช้สมุนไพรหญ้าหียุ่มแทนก็ได้
​การใช้หญ้าหียุ่มในแม่หญิงที่เพิ่งคลอดลูก เพื่อช่วยกระชับช่องคลอด ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว และรักษาแผลได้ด้วย ช่างเป็นความเฉลียวฉลาดของคนโบราณที่รู้ปัญหาของลูกผู้หญิง และขวนขวายหาสมุนไพรมาช่วยดูแลให้อีก ตามหลักวิทยาศาสตร์ การใช้ยารมเป็นการใช้ความร้อนช่วยลดการอักเสบ และมีสรรพคุณฆ่าเชื้อโรค และหญ้าชนิดนี้เป็นพืชตระกูลไผ่จึงมีซิลิกาซึ่งเป็นสารที่มีคุณสมบัติช่วยฟื้นฟูและสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ แต่คำอธิบายที่เป็นวิชาการเหล่านี้ ก็ยังไม่หนักแน่นเท่ากับประสบการณ์ตรงของปู่ยาตายายซึ่งมีมายาวนาน

ตำรับยา

ยาใช้รักษาแผลให้ยุ่มเข้า กินแล้วท้องสบาย บีบมดลูกให้แห้ง ขับน้ำคาวปลา สำหรับรมบาดแผลให้แห้งเร็ว (ตำรับตาเพ็ง ตาวิน ตุ้มทอง ตาบุญ)
​หญ้าหียุ่มทั้งห้า 1 กำมือใหญ่ นำหญ้าหียุ่มทั้งห้า ใส่หม้อนึ่งแล้วต้มให้ยาสุก จากนั้นตักน้ำยาไว้กิน อาจเก็บใส่กระติกน้ำร้อนไว้กินแทนน้ำ หากใช้วิธีรม ให้ใช้ผ้ามาคลุมโดยให้คร่อมหม้อ ให้ไอน้ำรมตรงบริเวณปากช่องคลอด ทำเช้า เย็น

ยาสตรีออกลูกแล้วฝีเย็บขาด รักษาแผล มดลูกกระชับ (ตำรับยายสอน )
​หญ้าหียุ่มทั้งห้า 1 กำมือใหญ่ เอาต้นหญ้าหียุ่มมาเผาไฟ ให้ควันขึ้น แล้วยืนเอาผ้าล้อมไว้ ถอดผ้านุ่งออก ให้ควันโดนฝีเย็บ ให้ทำเช้าเย็น ทำทุกวัน


วันอังคารที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2557

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) บิดาแห่งสมุนไพรไทย






เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) (29 กรกฎาคม พ.ศ. 2404 -27 สิงหาคม พ.ศ. 2465) เป็นเจ้าเมืองพระตะบองต่อจากบิดา และเป็นสมุหเทศาภิบาล สำเร็จราชการมณฑลบูรพา ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นตระกูล "อภัยวงศ์"

 
 

ประวัติ

เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) เกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2404 ที่เมืองพระตะบอง เป็นบุตรคนโตของเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย อภัยวงศ์) กับท่านผู้หญิง ทับทิม (เป็นบุตรเจ้าพระยามหาเสนา (น้อย) ลูกพี่ลูกน้องกับเจ้าพระยามหาเสนา (บุนนาค) ต้นสกุลบุนนาค) บิดาได้นำเข้าถวายตัวเป็นมหาดเล็กในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ศึกษาราชการในสำนักสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ จนได้รับพระราชทานสัญญาบัตรเป็นข้าราชการกรมมหาดเล็ก มีบรรดาศักดิ์เป็นนายรองเล่ห์อาวุธ รองหุ้มแพรมหาดเล็ก ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น พระอภัยพิทักษ์ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยราชการเจ้าเมืองพระตะบองอยู่กับเจ้าคุณบิดา
จนเจ้าพระยาคทาธรธรณินทร์ (เยีย) ถึงแก่อสัญกรรม จึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาคทาธรธรณินทร์ ผู้สำเร็จราชการเมืองพระตะบอง สืบแทนบิดา ต่อมาในปี พ.ศ. 2446 พระยาศักดาภิเดชวรฤทธิ์ (ดั่น) สมุหเทศาภิบาลมณฑลเขมรถึงแก่อนิจกรรม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นทั้งสมุหเทศาฯ มณฑลบูรพา ควบกับผู้สำเร็จฯ เมืองพระตะบองทั้งสองตำแหน่ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น "เจ้าพระยาอภัยภูเบศร บรมนเรศร์สวามิภักดิ์ สมบูรณ์ศักดิ์สกุลพันธ์ ยุตธรรม์สุรภาพอัธยาศรัย อภัยพิริยบรากรมพาหุ" มีตำแหน่งในราชการกระทรวงมหาดไทย ถือศักดินา 10,000 ไร่ เช่นเดียวกับเจ้าพระยาทั้งหลาย และพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ปฐมจุลจอมเกล้า ประถมาภรณ์ช้างเผือก ประถมาภรณ์มงกุฎไทย และเหรียญจักรพรรดิมาลา
ปี พ.ศ. 2450 ในขณะที่ไทยมีกรณีพิพาทกับฝรั่งเศส ต้องแลกมณฑลบูรพากับเมืองตราดให้แก่ฝรั่งเศส ท่านตัดสินใจทิ้งยศถาบรรดาศักดิ์ ทั้งที่ฝรั่งเศสชวนท่านปกครองเมืองพระตะบองต่อ แต่ท่านกลับอพยพครอบครัวและบุตรหลานมาเป็นข้าราชการธรรมดา มาลาออกมาอยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี ในปี พ.ศ. 2460 ได้ทรงพระมหากรุณาพระราชทานนามสกุลแก่เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม) และผู้สืบเชื้อสายต่อจากนั้นไปว่า "อภัยวงศ์" หลังจากนั้นท่านได้บำเพ็ญประโยชน์ให้ประเทศชาติและจังหวัดปราจีนบุรีมากมาย เช่น บริจาคทรัพย์สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล และที่สำคัญคือได้บูรณปฏิสังขรณ์ วัดแก้วพิจิตร ที่เมืองปราจีนบุรี โดยเป็นผู้อำนวยการก่อสร้างและออกแบบเอง และนับเป็นวัดประจำสกุล "อภัยวงศ์"
อุปนิสัยส่วนตัว เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ยังชอบที่จะประกอบอาหารรับประทานด้วยตนเอง โดยส่วนมากจะเป็นอาหารที่มีส่วนประกอบของสมุนไพร จนกลายเป็นตำรับตกทอดมายังลูกหลานภายในตระกูลและกิจการในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ซึ่งคราวที่รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสเมืองปราจีนบุรี ก็ได้ยังเสวยพระกระยาหารที่ท่านเป็นผู้ปรุงอีกด้วย[2]
เจ้าพระยาอภัยภูเบศร (ชุ่ม อภัยวงศ์) ถึงแก่อสัญกรรมที่เมืองปราจีนบุรี เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2465 สิริอายุ 61 ปี ได้รับพระราชทานโกศ โดยได้เชิญศพไปตั้งบนตึกที่ท่านสร้างไว้ และได้รับพระราชทานเพลิงศพที่ เมรุวัดแก้วพิจิตร และเชิญอัฐิไปบรรจุไว้ที่ฐาน พระอภัยวงศ์ ในพระอุโบสถ วัดแก้วพิจิตร เมื่อพระยาอภัยภูเบศรถึงแก่อนิจกรรมจึงเชิญอัฐิและอังคารมาไว้เคียงข้าง อัฐิของท่านเจ้าพระยาฯ ได้รับพระราชทานสดับปกรณ์อัฐิ และ น้ำสุคนธ์สรงอัฐิ ในทุกวันสงกรานต์จากพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวีเมื่อเสด็จพระนางฯ เสด็จสิ้นพระชนม์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ก็ทรงพระราชทานมาสรงทุกวันสงกรานต์ และถ้าว่างจากพระภารกิจทั้งสองพระองค์ก็จะมาบำเพ็ญพระกุศลพระราชทานแก่เจ้าพระยาอยู่เนืองๆ

วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2557

อิน-จัน แฝดสยามคู่แรกของไทย ที่ดังทั่วโลก

อิน-จัน แฝดสยามคู่แรกของไทย ที่ดังทั่วโลก...

โดย นิทรรศน์รัตนโกสินทร์
 
 11 พฤษภาคม วันคล้ายวันเกิด ฝาแฝดอิน-จัน แฝดสยามที่มีชื่อเสียงคู่แรกของโลก ฝาแฝดอิน-จัน เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2354 ตรงกับรัชสมัยรัชกาลที่ 2 ในครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน ที่จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีบิดาเป็นชาวจีนอพยพแต่ครั้งรัชกาลที่ 1 ชื่อ นายที มารดาเป็นคนไทยชื่อ นางนาก (บันทึกของชาวตะวันตกเรียกว่า นก) ซึ่งฝาแฝดคู่นี้สามารถเติบโตและใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ แตกต่างไปจากแฝดติดกันคู่อื่น ๆ ที่มักเสียชีวิตหลังคลอดได้ไม่นาน ตามกฎหมายในเวลานั้น ทั้งคู่ต้องถูกประหารชีวิตเนื่องจากความเชื่อที่ว่าเป็นตัวกาลกิณี แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็หาได้มีเหตุการณ์ใด ๆ ตามความเชื่อไม่ โทษนั้นจึงได้รับการยกเลิก เมื่อทั้งคู่อายุได้แค่ 2 ขวบ บิดาก็เสียชีวิตลงด้วยอหิวาตกโรค ภาระจึงตกอยู่ที่มารดาแต่เพียงผู้เดียว แฝดทั้งคู่จึงช่วยเหลือมารดาเท่าที่เด็กในวัยเดียวกันจะทำได้ เช่น จับปลา ขายน้ำมันมะพร้าว และทำไข่เค็มขาย จนในปี พ.ศ. 2367 ความพิเศษของเด็กทั้งคู่ทราบไปถึงพระกรรณของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นางนากและอิน-จันเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท แล้วในปี พ.ศ. 2370 ก็มีพระบรมราชานุญาตให้อิน-จันได้เดินทางร่วมไปกับคณะทูตเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศโคชินไชน่า (เวียดนามในปัจจุบัน) ในปี พ.ศ. 2367 นายโรเบิร์ต ฮันเตอร์ พ่อค้าชาวอังกฤษ หรือที่คนไทยสมัยนั้นเรียกว่า "นายหันแตร" ได้นั่งเรือผ่านแม่น้ำแม่กลอง และได้พบแฝดคู่นี้กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ ด้วยความประหลาดและน่าสนใจ นายฮันเตอร์จึงคิดที่จะนำฝาแฝดคู่นี้ไปแสดงโชว์ตัวที่สหรัฐอเมริกา จึงเข้าทำความสนิทสนมกับครอบครัวของฝาแฝดอยู่นานนับปี จนแม่ของทั้งคู่ไว้วางใจ ในที่สุดนายอาเบล คอฟฟิน กัปตันเรือสินค้า เดอะ ชาเคม (The Sachem) ซึ่งขณะนั้นได้เข้ามาทำการค้าในประเทศไทย ก็เป็นผู้นำตัวคู่แฝดออกเดินทางจากประเทศไทยเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2372 ขณะนั้นอิน-จัน อายุได้ 18 ปี โดยใช้เวลาเดินทางทั้งหมด 138 วัน จึงถึงเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ และที่นี่เองที่คู่แฝดได้ทำการเปิดตัว ก่อนจะออกเดินทางแสดงทั่วอเมริกาและยุโรปอีกร่วม 10 ปี โดยสัญญาที่ทำไว้กับนายฮันเตอร์และนายคอฟฟินสิ้นสุดลงเมื่อทั้งคู่มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ โดยในช่วง 2 ปีแรก ทั้งคู่ก็ได้รับส่วนแบ่งค่าตอบแทน แต่ก็มีบางครั้งก็ถูกเอาเปรียบด้วย เมื่อเป็นอิสระทั้งคู่ก็เปิดการแสดงเอง และได้แสดงไปทั่วสหรัฐอเมริกา จนเมื่ออายุได้ 28 ปี ใน พ.ศ. 2382 ทั้งคู่ก็ได้ลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านแทรปฮิลล์ (Traphill) เขตชานเมืองวิลส์โบโร (Wilkesboro) เคาน์ตีวิลส์ ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา พร้อมกับได้เปลี่ยนชื่อและเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน โดยมีชื่อว่า เอ็ง-ชาง บังเกอร์ (Eng and Chang Bunker) พร้อมกับได้แต่งงานกับหญิงชาวอเมริกัน อินสมรสกับ Sarah Ann Yates (1822 - 1905) และจันสมรสกับ Adelaide Yates Bunker (1823 - 1917) และมีลูกด้วยกันหลายคน จัน 10 คน อิน 11 คน ซึ่งระหว่างที่ทั้งคู่ใช้ชีวิตในต่างประเทศนั้น มีความพยายามหลายครั้งจากหลายบุคคลที่จะทำการผ่าตัดแยกร่างทั้งคู่ออกจากกัน แต่ท้ายที่สุดก็มิได้มีการดำเนินการจริง ๆ จากบันทึกที่ได้บันทึกไว้ ระบุว่า จัน (คนน้อง) เป็นคนที่มีอารมณ์ร้อน หุนหันพลันแล่น และชอบดื่มสุราจนเมามาย ขณะที่ อิน (ผู้พี่) กลับมีนิสัยตรงกันข้าม คือ ใจเย็น สุขุมกว่า และไม่ดื่มเหล้า อีกทั้งทั้งคู่เคยทะเลาะวิวาทจนถึงขั้นชกต่อยกันเองมาแล้วด้วย จากการที่จันผู้น้องนิยมดื่มเหล้าจนเมามายบ่อย ๆ ทำให้เป็นโรคหลายโรค จนในวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2417 จันก็เสียชีวิตลงด้วยอาการหัวใจวาย จากนั้นอีกราว 2 ชั่วโมงถัดมา อินก็ได้เสียชีวิตตามไปด้วย ซึ่งจากการชันสูตรและลงความเห็นของแพทย์สมัยใหม่ ระบุว่า อินต้องสูญเสียเม็ดเลือดแดงให้แก่จันที่เสียชีวิตไปแล้ว ผ่านทางเนื้อที่เชื่อมกันที่อก ทั้งคู่เสียชีวิตขณะที่มีอายุได้ 63 ....ขอขอบคุณข้อมูลและภาพจากชมรมคนรักสยาม