Dating with thai girls

Dating with thai girls
Dating with thai girls

วันอังคารที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ต้นมเหสักข์ ( ต้นสักพระราชทาน )

โซนนิทรรศการเทิดพระเกียร







    "มเหสักข์" ต้นสักใหญ่ที่สุดในโลก

สักเป็นไม้ป่าเขตร้อน ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศมีพื้นที่ปลูกสักพันธุ์ที่ดีอีกแห่งในโลก และต้นสักที่ใหญ่ที่สุดและอายุมากที่สุดในโลกถึง 1,500 ปี อยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้รับชื่อพระราชทาน นามว่า มเหสักข์ ซึ่งขณะนี้ได้ขยายพันธุ์ต้นลูกและหลานไปทั่วทุกภาคของประเทศ หวังเพิ่มปริมาณต้นสักให้มากขึ้น

มเหสักข์ ภายในวนอุทยานต้นสักใหญ่ คือ ต้นสักที่ใหญ่ที่สุดและอายุมากที่สุดในโลก กว่า 1,500 ปี ลำต้นเส้นวงรอบ 10 เมตร 23 เซนติเมตร ใช้ 9 คนโอบโดยรอบ ขนาดความโต 1020 .7 เซนติเมตร ซึ่งเฉลี่ยโตขึ้นปีละ 1.3 เซนติเมตร ซึ่งถือว่าใหญ่กว่าพม่า ที่มีเส้นรอบวงเพียง 1 เมตร 30เซนติเมตร

หลังสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรต้นสักใหญ่และทรงปลูกต้นสักเมื่อ ปี 2541 และทรงมีพระราชเสาวนีย์ให้บำรุงรักษาต้นสักใหญ่ให้มีอายุยืนนานตลอดไป หน่วยงานเกี่ยวข้องจึงช่วยกันดูแลรักษาต้นสักใหญ่ วางระบบน้ำหยดโดยรอบ 24 จุด กั้นพื้นที่ป้องกันการกระเทือนถึงราก รวมถึงศึกษาวิจัยในระยะยาว

อดีตบริเวณป่าผืนนี้ ได้เปิดให้สัมปทานทำไม้ สังเกตุจากตอไม้สักขนาดใกล้เคียงที่ถูกตัด แต่มเหสักข์ได้รอดพ้นจากการทำไม้ เพราะเป็นโพรง
ปัจจุบันมเหสักข์ ได้จัดทำ ดีเอ็นเอ เพื่อเพาะพันธุ์และอนุรักษ์พันธุกรรมพืช รวมถึงขยายสายพันธุ์พระราชทานให้เป็นสวนป่าเศรษฐกิจครบทั้ง 4 ภาค ทั่วประเทศ

สักสยามินทร์ พ่อพันธุ์สักพระราชทานชั้นเยี่ยม ตั้งอยู่ที่หน้าที่ว่าการอำเภอลับแล อายุกว่า 100 ปี สัญนิษฐานว่า รัชกาลที่ 5 ทรงปลูกสักทั้ง 2 ต้น ไว้ที่ม่อนสามินทร์ เพื่อเป็นที่ระลึกขณะเสด็จประพาสเมืองลับแล เมื่อ พ.ศ.2444 ปัจจุบันสักสยามินทร์ได้ขยายพันธุ์ปลูกไปทั่วประเทศเช่นกัน

ขณะที่สถานการณ์ป่าสักของไทยขณะนี้ทั้งป่าธรรมชาติและป่าเอกชนเหลือเพียง 14 ล้านไร่เท่านั้น ซึ่งถือว่าอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องอนุรักษ์ให้เพิ่มปริมาณขึ้นให้กลับมาเป็นพืชเศรษฐกิจเหมือนเช่นอดีตที่มีถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศ

ปัจจุบันไทยเป็นทั้งประเทศผู้ส่งออกและนำเข้าไม้สัก โดยสัดส่วนนำเข้ามากกว่าส่งออกถึง 400 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพราะไทยได้ยกเลิกสัมปทานป่าไม้ตั้งแต่ปี 2532 ขณะที่ประเทศอาเซียน ทั้งพม่าและลาว มีป่าสักมากกว่าไทย แต่ไทยก็ยังมี ผืนป่าสักธรรมชาติที่ใหญ่ลุ่มแม่น้ำปาย ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ป่าสักนวมินทรราชินี ซึ่งฟื้นตัวจากการทำสัมปทานไม้ในอดีต


 

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ต้นไม้มงคล 9 ชนิด ( ไม้ยืนต้น )


ไม้มงคลที่ใช้ในพิธีวางศิลาฤกษ์นี้ ใช้ในการก่อสร้างอาคารบ้านเรือน ก่อนทำการก่อสร้างนิยมทำพิธีวางศิลาฤกษ์ โดยใช้ไม้มงคล ๙ ชนิด ปักกับพื้นดิน ไม้ทั้ง ๙ ชนิด มีชื่อเป็นมงคลนาม ได้แก่ ไม้ราชพฤกษ์ ไม้ขนุน ไม้ชัยพฤกษ์ ไม้ทองหลาง ไม้ไผ่สีสุก ไม้ทรงบาดาล ไม้สัก ไม้พะยูง และไม้กันเกรา อ่านรายละเอียดด้านล่างครับ
๑. ไม้ราชพฤกษ์ หมายถึง ความเป็นใหญ่และมีอำนาจวาสนา

ข้อมูลทางวิชาการไม้ต้น ผลัดใบ สูง 8 - 15 เมตร
นิเวศวิทยา
ถิ่นกำเนิดเอเชียแถบร้อน ขึ้นตามป่าเบญจพรรณแล้งทั่วไป
ออกดอก
กุมภาพันธ์ - พฤษภาคม ทิ้งใบก่อนออกดอก

ขยายพันธุ์
โดยเมล็ด วิธีการเตรียมเมล็ดก่อนเพาะ นำเมล็ดมาตัดหรือทำให้เกิด บาดแผลที่ปลายเมล็ดแล้ว แช่น้ำไว้ 12 ชั่วโมง หรือแช่กรดซัลฟูริคเข้มข้น 1.84 ประมาณ 15 นาที แล้วล้างน้ำให้สะอาด แช่น้ำทิ้งไว้ 12 ชั่วโมง วิธีนี้สะดวกแต่อันตราย และอีกวิธีหนึ่งคือ ต้มน้ำให้เดือดแล้วเทลงในเมล็ด ทิ้งไว้ข้ามคืน ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำ ให้เมล็ดดูดน้ำเข้าไปและพร้อมที่จะงอก
วิธีเพาะ อาจหยอดลงในถุงดินที่เตรียมไว้หรือจะเพาะในแปลงเพาะแล้วย้ายชำกล้าในภายหลัง ควรให้เมล็ดอยู่ใต้ผิวดิน 3-5 มิลลิเมตร รดน้ำให้ชุ่ม เมล็ดจะงอกภายใน 1-2 สัปดาห์
ประโยชน์ ราก ฝนทาแก้กลาก เป็นยาระบาย รากและแก่นเป็นยาขับพยาธิ เปลือกและไม้ใช้ฟอกหนัง และใช้บดทาผื่นตามร่างกาย เนื้อไม้สีแดงแกมเหลืองทนทานใช้ทำเสา ล้อเกวียน ใบต้มกินเป็นยาระบาย ดอกแก้ไข้ ฝักเนื้อในรสหวาน เป็นยาระบาย ช่วยบรรเทาการแน่นหน้าอก แก้ขัดข้อ

๒. ไม้ขนุน หมายถึง หนุนให้ดีขึ้นร่ำรวยขึ้น ทำอะไรจะมีผู้ให้การเกื้อหนุน
ข้อมูลทางวิชาการ
ไม้ต้น ขนาดใหญ่ สูง 15 - 30 เมตร ลำต้นและกิ่งเมื่อมีบาดแผลจะมีน้ำยางสีขาวข้นคล้ายน้ำนมไหล
นิเวศวิทยา
ถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศอินเดียเป็นพืชเศรษฐกิจเมืองร้อนที่ให้ผลมีขนาดใหญ่ที่สุดสามารถ บริโภคทั้งผลดิบและผลสุก นอกจากนี้ยังนำไปแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่างๆ มีปลูกทั่วทุกภาคของประเทศไทย

ออกดอก
จะออกปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม และเมษายน - พฤษภาคมขยายพันธุ์ โดยการเพาะเมล็ด ติดตา และทาบกิ่ง
ประโยชน์ ผลอ่อน ใช้ปรุงอาหาร ผลสุกเยื่อหุ้มเมล็ดมีรสหวาน เมล็ดปรุงอาหาร เนื้อไม้ ใช้ทำพื้นเรือนและสิ่งก่อสร้าง ครก สากกระเดื่อง หวี โทน รำมะนา ระนาด รากและแก่น ให้สีเหลือง ถึงเหลืองอมน้ำตาล ใช้ย้อมผ้าและแพรไหม รากนำมาปรุงเป็นยาแก้ท้องร่วง แก้ไข้ ใบ เผาไฟกับซังข้าวโพดให้ดำเป็นถ่าน แล้วใส่รวมกับก้นกะลามะพร้าวขูด โรยรักษาบาดแผล

๓. ไม้ชัยพฤกษ์ หมายถึง การมีโชคชัย ชัยชนะ ชนะศัตรู ชนะอุปสรรคต่างๆ

ข้อมูลทางวิชาการไม้ต้น สูงถึง 15 เมตร ลำต้นสีน้ำตาล ทรงพุ่มใบกลมคล้ายร่ม เมื่อต้นยังอ่อนมีหนาม ใบประกอบรูปขนนกปลายคู่ เรียงสลับ มีใบย่อย 5 - 15 คู่ แผ่นใบรูปไข่แกมรูปรี หรือรูปขอบขนาน ขนาดกว้าง 1.5 - 2.5 เซนติเมตร ยาว 2.5 - 5 เซนติเมตร ปลายใบมน โคนใบกลม ผิวใบด้านล่างมีขนละเอียด
ดอก เริ่มบานสีชมพู แล้วเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้ม ใกล้โรยดอกสีขาว ออกเป็นช่อตามกิ่งยาว 5 - 16 เซนติเมตร กลีบเลี้ยงสีแดง หรือแดงปนน้ำตาล ดอกเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 เซนติเมตร ผลเป็นฝักกลมสีดำ ยาว 20 - 60 เซนติเมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 - 1.5 เซนติเมตร เมื่อแก่ไม่แตกมีเมล็ดจำนวนมากนิเวศวิทยา ถิ่นกำเนิดอินโดนีเซีย
ออกดอก
กุมภาพันธ์ - เมษายน
ขยายพันธุ์
โดยใช้เมล็ด วิธีเพาะเช่นเดียวกับราชพฤกษ์
ประโยชน์
เนื้อในฝักเป็นยาระบายอ่อน ๆ ปลูกประดับ ดอกสวยงาม

๔. ไม้ทองหลาง หมายถึง การมีทรัพย์สินเงิน มีเงินทองใช้ไม่ขัดสน
ข้อมูลทางวิชาการไม้ต้น ผลัดใบ สูง 5 - 10 เมตร ตามกิ่งต้นอ่อนมีหนาม เรือนยอดเป็นพุ่มกลม โปร่ง
นิเวศวิทยา พบทั่วไปในย่านเอเชียเขตร้อนและอบอุ่น
ออกดอก มกราคม - กุมภาพันธุ์
ขยายพันธุ์ โดยเมล็ดและปักชำ
ประโยชน์ ปลูกเป็นไม้ประดับ

๕. ไผ่สีสุก หมายถึง มีความสุขกายสบายใจ ไร้ทุกข์โศกโรคภัย

ข้อมูลทางวิชาการ
เป็นไม้ไผ่ประเภทมีหนาม ความยาวลำต้นสูง 10 - 18 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง 8 - 12 เซนติเมตร แข็ง ผิวเรียบเป็นมัน ข้อไม่พองออกมา กิ่งมากแตกตั้งฉากกับลำต้น หนามโค้งออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 อัน อันกลางยาวกว่าเพื่อน ลำมีรูเล็กเนื้อหนา ใบมีจำนวน 5 - 6 ใบ ที่ปลายกิ่ง ปลายใบเรียวแหลม โคนใบเป็นรูปลิ่มกว้าง ๆ หรือตัดตรง แผ่นใบกว้าง 0.8 - 2 เซนติเมตร ยาว 10 - 20 เซนติเมตร ใต้ใบมีสีเขียวอมเหลือง เส้นลายใบมี 5 - 9 คู่ ก้านใบสั้น ขอบใบสาก คลีบใบเล็กมีขน
นิเวศวิทยา
เชื่อกันว่าเป็นไม้ดั้งเดิมในหมู่เกาะอินเดียตะวันออก หรือหมู่เกาะแปซิฟิคตอนใต้ ในประเทศไทย มักจะขึ้นอยู่ตามที่ราบลุ่มริมห้วย แม่น้ำ และมักปลูกรอบ ๆ บ้านในชนบท

ขยายพันธุ์ ปักชำ ใช้ท่อนไม้ไผ่มาตัดทอนเป็นท่อน ๆ ให้ติดปล้อง 1 ปล้อง (ข้อตา) นำมาปักไว้ในวัสดุชำ เอียงประมาณ 45 องศา เรียงเป็นแถวเป็นแนวเดียวกันเพื่อสะดวกในการดูแลรักษา เติมน้ำลงในกระบอกไม้ไผ่ให้เต็ม ประมาณ 4 สัปดาห์ หน่อจะแตกออกจากตาไม้ไผ่ และรากจะงอกออกจากปุ่มใต้ตา หรือถ้าตัดทอนท่อนไม้ไผ่ให้ตัดข้อตา 2 ข้อ แล้วเจาะตรงกลางระหว่างข้อตา สำหรับเติมน้ำลงไปในปล้อง นำไปวางนอนในวัสดุชำแนวราบก็ได้เช่นกัน


ประโยชน์
สมัยก่อนมักปลูกไว้รอบบ้านเป็นรั้วกันขโมย กันลม หน่อเมื่ออยู่ใต้ดินทำอาหารได้มีรสดี เมื่อโผล่พ้นดินประมาณ 20 - 30 เซนติเมตร มักเอาไปทำหน่อไม้ดอง จะให้รสเปรี้ยว สีขาว และเก็บได้นาน โดยไม่เปื่อยเหมือนหน่อไม้ชนิดอื่น เนื้อไม้หนาแข็งแรง ใช้สร้างบ้านในชนบทได้ทนทาน ทำเครื่องจักสาน เครื่องใช้ในการประมง ใช้ในการทำนั่งร้านก่อสร้าง ส่วนโคนนิยมใช้ทำไม้คานหาบหามและใช้ทำกระดาษให้เนื้อเยื่อสู

๖. ไม้ทรงบาดาล หมายถึง ความมั่นคง หรือทำให้บ้านมั่นคงแข็งแรงข้อมูลทางวิชาการ
ไม้พุ่ม สูง 3 - 5 เมตร ใบ ประกอบแบบขนนก เรียงสลับ ใบย่อย 4 - 6 คู่ รูปไข่หรือรูปไข่แกมขอบขนาน ขนาดกว้าง 1 - 2 เซนติเมตร ยาว 2.5 - 4 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ดอก สีเหลืองออกตามซอกใบ และปลายกิ่ง กลีบเลี้ยง 5 กลีบ เมื่อบานเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 - 3 เซนติเมตร ผล เป็นฝักแบน กว้าง 1 - 1.5 เซนติเมตร ยาว 7 - 20 เซนติเมตร
นิเวศวิทยา
ถิ่นกำเนิดเอเชียเขตร้อนและจาไมก้า ออกดอก ตลอดปี ขยายพันธุ์ เพาะเมล็ด วิธีเตรียมเมล็ด ก่อนเพาะ นำเมล็ดมาแช่น้ำร้อน 80 - 90 องศาเซลเซียส แล้วทิ้งไว้ให้เย็น 16 ชั่วโมง

วิธีเพาะเมล็ด
เช่นเดียวกับราชพฤกษ์
ประโยชน์
ปลูกเป็นไม้ประดับ

๗. ไม้สัก หมายถึง ความมีศักดิ์ศรี ความมีเกียรติ อำนาจบารมี คนเคารพนับถือและยำเกรง

ข้อมูลทางวิชาการไม้ต้น ขนาดใหญ่ผลัดใบในฤดูร้อน ลำต้นเปลาตรงเปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็ก ๆ สีเทา โคนเป็นพูพอนต่ำ ๆ เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้างทึบ เปลือกสีเทา เรียบ หรือแตกเป็นร่องตื้นตามความยาวลำต้น

นิเวศวิทยา ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ บางส่วนในภาคกลางและภาคตะวันตก มีอยู่บ้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ออกดอก
ออกดอกและเป็นผลเดือน มิถุนายน - ตุลาคม
ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด ปักชำ
ประโยชน์ เนื้อไม้มีลายสวยงามแข็งแรงทนทาน เลื่อย ผ่า ไสกบตบแต่ง และชักเงาได้ง่าย ใช้ทำเครื่องเรือนและในการก่อสร้างบ้านเรือน ปลวก มอด ไม่ชอบทำลายเพระมีสารพวกเตคโตคริโนน

๘. ไม้พะยูง หมายถึง การพยุงฐานะให้ดีขึ้น
ข้อมูลทางวิชาการ
ไม้ต้น ผลัดใบ สูง 15 - 25 เมตร เปลือกสีเทาเรียบเรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่
นิเวศวิทยา ขึ้นในป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณชื้น ทั่ว ๆ ไป ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก
ออกดอก พฤษภาคม - กรกฎาคม ฝักแก่ กรกฎาคม - กันยายน


ขยายพันธุ์
โดยนำเมล็ดแช่ในน้ำเย็น 24 ชั่วโมง แล้วเพาะในกะบะเพาะ โดยหว่านให้กระจายทั้งกะบะเพาะแล้วโรยทรายกลบบาง ๆ รดน้ำให้ชุ่ม เมล็ดจะงอกภายใน 7 วัน เมื่อกล้าไม้อายุ 10-14 วัน ความสูงประมาณ 1 นิ้ว มีใบเลี้ยง 1 คู่ สามารถย้ายชำในถุงหรือภาชนะที่เตรียมไว้ได้

ประโยชน์
เนื้อไม้สีแดงอมม่วง ถึงแดงเลือดหมูแก เนื้อละเอียด แข็งแรงทนทาน ขัดและชักเงาได้ดี ใช้ทำเครื่องเรือน เกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด

. ไม้กันเกรา หมายถึง ป้องกันภัยอันตรายต่างๆ หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ตำเสา ซึ่งอาจหมายถึงทำให้เสาเรือนมั่นคง
ข้อมูลทางวิชาการไม้ต้น ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูง 15 - 25 เมตร เปลือกสีน้ำตาลเข้ม แตกเป็นร่องลึกไม่เป็นระเบียบนิเวศวิทยา ขึ้นทั่วไปในป่าเบญจพรรณชื้น และตามที่ต่ำ ที่ชื้นแฉะใกล้น้ำ ทั่วทุกภาคของประเทศไทย

ออกดอก เมษายน - มิถุนายน เป็นผล มิถุนายน - กรกฎาคม
ขยายพันธุ์ โดยเมล็ด

ประโยชน์ เนื้อไม้ สีเหลืองอ่อน เสี้ยนตรง เนื้อละเอียด เหนียว แข็ง ทนทาน ใช้ในการก่อสร้าง นิยมใช้ทำเสาเรือน แก่นมีรสฝาดใช้เข้ายาบำรุงธาตุ แน่นหน้าอก เปลือกใช้บำรุงโลหิต ผิวหนังพุพอง ปลูกเป็นไม้ประดับ

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไม้พะยูง ไม้มีค่าทั้งความหมายและมูลค่ามากมาย

"ไม้พะยูง" ไม้ที่แพงที่สุดในโลก และเหลือเพียงแห่งเดียว คือ ประเทศไทย
ไม้พะยูงหรือพยุง


"พะยูง" เป็นไม้เนื้อแข็งเช่นเดียวกับไม้สัก ตะเคียน มีชื่อและความหมายดี
พะยูงเป็นชื่อพื้นเมืองทางการของไม้ชนิดนี้ แต่ก็มีการเรียกขานที่แตกต่างกันไป ตามท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น กระยง กระยุง (เขมร – สุรินทร์) ขะยุง (อุบลราชธานี) ประดู่ลาย (ชลบุรี) พะยูงไหม (สระบุรี) ประดู่เสน (ตราด) ประดู่ตม (จันทบุรี) หีวสีเมาะ (จีน) เป็นต้น
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia cochinchinensis Pierre อยู่ในอนุวงศ์ Papilionaceae วงศ์ Leguminosea มีชื่อทางการค้าในตลาดต่างประเทศว่า Siamese Rosewood หรือ Thailand Rosewood มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย พม่า กัมพูชา ลาว และเวียดนาม
ลักษณะทั่วไป
พะยูงเป็นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ สูงถึง 25 เมตร มีช่วงลำต้น 10-15 เมตร มีเปลือกสีเทา เรียบ ลอกเป็นแผ่นบาง ๆ เปลือกในสีน้ำตาลแกมเหลือง โดยมากจะมีพุ่มใบกว้าง การแตกกิ่งก้านจะแตกเป็นแขนงแยกย่อยจากกิ่งใหญ่ โดยมากตาที่จะแตกเป็นกิ่งใหม่่มักจะอยู่บนกิ่งแขนงย่อยบริเวณส่วนนอกของพุ่มใบ
ใบเป็นใบประกอบเป็นช่อแบบขนนก ช่อใบยาว 10-15 ซม. มีใบย่อย 7-9 ใบ เรียงตัวสลับกัน ใบมีลักษณะเหนียวคล้ายแผ่นหนังบาง ๆ มีลักษณะรูปไข่ขนาดกว้าง 3-4 ซม. ยาว 4-7 ซม. ปลายใบแหลม ดอกพยุงมีขนาดเล็กสีขาวเกิดบนช่อดอกเชิงประกอบ ตามปลายกิ่งหรือตามง่ามใบใกล้ยอด
ออกดอกระหว่างเดือน พฤษภาคม-กรกฎาคม ผลพะยูงเป็นฝักเกลี้ยงรูปขนานแบนและบอบบางกว้าง 1.2 ซม. ยาว 4-6 ซม. ตรงบริเวณที่หุ้มเมล็ดมองเห็น เส้นแขนงไม้ชัดเจน ฝักพะยูงเมื่อแก่จะไม่แตกออกเหมือนฝักแดง หรือ ฝักมะค่าโมง ฝักจะร่วงหล่นโดยที่เมล็ดยังอยู่ในฝัก มีเมล็ดจำนวน 1-4 เมล็ด
เมล็ดมีลักษณะแบนเป็นรูปไต สีน้ำตาลเข้ม ผิวเมล็ดค่อนข้างมันมีขนาด กว้างประมาณ 4 มม. ยาว 7 มม. ระบบรากเป็นระบบรากแก้วและรากแขนงโดยรากแก้วจะเป็นรากแกนหลักที่มีรากแขนงแตกย่อยออกไป เป็นไม้ที่มีระบบรากค่อนข้างลึก รากฝอยจะมีปมรากแบบปนรากถั่วช่วยในการตรึง ก๊าซในโตเจน
พะยูงเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 15-25 เมตร เปลือกสีเทาเรียบเรือนยอดทรงกมักขึ้นอยู่ในป่าดิบแล้ง และป่าเบญจพรรณชื้นทั่วไป โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือลมหรือรูปไข่ผลัดใบในหน้าแล้งและภาคตะวันออก
ประโยชน์ของไม้พะยูง
ประโยชน์ของไม้พะยูงโดยมากจะอยู่ในรูปของการใช้ประโยชน์จากเนื้อไม้ที่มีสีสันและลวดลายสวยงาม จนถือได้ว่าเป็นไม้ที่มีราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งในตลาดโลก


เนื้อไม้พะยูงมีความละเอียด เหนียวแข็งทนทานและชักเงาได้ดี มีน้ำมันในตัวจึงมักใช้ทำเครื่อง เรืีอน เครื่องใช้ต่าง ๆ ใช้ในการแกะสลักและทำด้ามเครื่องมือต่าง ๆ
ใช้ทำเกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด
ความเชื่อเกี่ยวกับไม้พะยูง
เชื่อว่าบ้านใดปลูกไว้ประจำบ้าน จะทำให้บุคคลในบ้านมีแต่ความเจริญ มีฐานะดีขึ้น ช่วยไม่ให้ชีวิตตกต่ำ เพราะพยุงคือการประคับประคองให้คงอยู่ ให้มั่นคงหรือการยกให้สูงขึ้น ต้นพะยูงจัดเป็นไม้มงคลที่ใช้ในการก่อสร้างอาคาร หรือก่อฐานประดิษฐ์ถาวรวัตถุต่างๆ

คนไทยโบราณเชื่อว่าบ้านใดปลูกต้นพยุงไว้ประจำบ้านจะทำให้มีความเจริญความมั่นคงเพราะ พยูงหรือพยุงคือการช่วยพยุงให้คงอยู่ให้มั่นคงแข็งแรง นอกจากนี้ยังช่วยให้เกิดความสง่า เพราะโบราณได้เปรีบเทียบไว้ว่ายูงยางสูงสง่าโดดเด่นเห็นตระการ
ตำแหน่งที่ปลูกและผู้ปลูก ตา คือ มีความสว่างในตัวเอง ซึ่งคล้ายกับความสว่างของนกยูง ซึ่งเป็นสัตว์ชั้นสูงชนิดหนึ่ง และยังมีคนโบราณบางคนได้กล่าวไว้ว่า พยุงหรือกระยงก็คือกระยงคงกระพันได้อีกแง่หนึ่งเช่นกันทั้งนี้เพราะโบราญถือว่าเนื้อไม้ของพยุงเป็นไม้ที่แข็งแกร่งและมีอิทธิฤทธิ์พอสมควร



คนไทยจัดลำดับ " พะยูง" ให้อยู่ใน 9 ชนิดไม้มงคลที่ควรปลูกไว้ในบ้าน ประกอบด้วย ชัยพฤกษ์, ราชพฤกษ์, ทองหลวง, ไผ่สีสุก, กันเกรา, ทรงบาดาล, สัก, พะยูง, ขนุน กระทั่งมีกลอนบทหนึ่งที่กล่าวถึงไม้มงคลทั้ง 9 ในส่วนของไม้พะยูงว่า
"ไม้พะยูง พยุงฐานะงานทำนั้น ให้คงมั่นพลันยิ่งทุกสิ่งที่
ปลูกไว้กันนั้นคุณจุนเจือมี ไม้ดีดีไม่ดูดายขยายไป"

การปลูก เพื่อเป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย ควรปลูกต้นพยุงไว้ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ปลูกควรปลูกในวันเสาร์เพราะโบราณเชื่อว่า การปลูกไม้เอาคุณทั่วไปให้ปลูกในวันเสาร์ ถ้าจะให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเองผู้ปลูกควรเป็นสุภาพบุรุษเพราะชื่อพยุงเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับสภาพบุรุษ

นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออีกว่าแก่นไม้พยุงมีลักษณะที่แข็งแกร่งจึงเปรียบเทียมความแข็งแรงเหมือนกับสุภาพ
บุรุษ

สถานการณ์ป่าไม้พะยูงปัจจุบัน - เมืองไทยแหล่งสุดท้ายในโลก
ขณะนี้สถานการณ์การลักลอบตัดไม้ทำลายป่ายังคงวิกฤติมาก โดยเฉพาะไม้พะยูงถือว่าเป็นอันดับต้น ๆ ที่มีการลักลอบตัดมากที่สุดในตอนนี้ จากในอดีตที่เคยเป็นไม้สัก ไม้กฤษณา แต่ปรากฏว่าในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ความต้องการของไม้พะยูงมีสูงมากในแถบประเทศจีน เวียดนาม

แหล่งสุดท้ายของโลก ไม้พะยูงไทยใกล้สูญพันธุ์ ในอีกไม่เกิน 2 ปี เนื่องจากการปั่นราคาจนกลายเป็นไม้แพงสุดในโลก ลบ.ม.ละ 2.5-3 แสน
ถึงขั้นมีนายทุนจากต่างชาติเข้ามาสร้างเครือข่ายตัดไม้พะยูง ในป่าบริเวณเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าพนมดงรัก จ.สุรินทร์ และอุทยานแห่ชาติ ภูจองนายอย จ.อุบลฯ และเขาพระวิหาร ที่ยังเป็นแหล่งไม้พะยูงที่สมบูรณ์ ที่ผ่านมาถึงแม้เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังร่วมกับทหาร ตำรวจปราบปรามอย่างเต็มที่ แต่ก็ปรากฏว่ายังคงมีไม้ถูกตัดออกจากป่าจำนวนมากเช่นกัน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมและยึดไม้พะยูงของกลางไว้คิดเป็นมูลค่ามากถึง 1.9 หมื่นล้านบาท และรัฐบาลก็ไม่ให้นำไม้ออกมาขายทอดตลาด เพราะเป็นห่วงว่าจะถูกนายทุนพวกนี้มาซื้อไม้พะยูงกลับเอาไป
เพราะเวลานี้ในตลาดโลกมีการปั่นราคาไม้พะยูงจนราคาพุ่งสูงมากถึงตับละ 5 หมื่นบาท โดยไม้ 1 ตับ จะมีขนาดหน้าไม้ 20x40 เซนติเมตร ยาว 2 เมตร หรือราคาลูกบาศก์เมตรละ 2.5-3 แสนบาท หรือถ้าคิดเป็นต้นขนาด 1 คนโอบ ก็ราคาตั้งแต่ 3 แสนบาทขึ้นไป
การลักลอบตัดไม้พะยูงนั้นจะทำเป็นขบวนการโดยมีทั้งในส่วนของคนไทยเองและชาวกัมพูชา โดยการลักลอบค้าไม้พะยูงจะมีวิธีการไม่แตกต่างจากขบวนการค้ายาบ้า มีการตัดตอนผู้ที่ร่วมกลุ่มขบวนการเป็นทอด ๆ โดยเจ้าหน้าที่ไม่สามารถตรวจพบพบความเชื่อมโยงได้ ซึ่งจะมีคนชี้เป้าว่ามีไม้พะยูงขึ้นอยู่จุดใดบ้างซึ่งมักจะเป็นคนพื้นที่ ซึ่งเพียงแค่การชี้เป้านี้ก็จะได้ค่าตอบแทนแล้วต้นละ 5,000 บาท
ปัจจุบัน ไม้พะยูงถือเป็นไม้สงวน หากใครมีไว้ในครอบครอง ถือว่ามีความผิด

เรียกได้ว่า สถานการณ์ไม้พะยูงในประเทศไทย ซึ่งเป็นแหล่งสุดท้ายแหล่งเดียวในโลก กำลังเผชิญกับสภาวะที่ล่อแหล่มต่อการสูญพันธ์ หรือสูญสิ้น


สาเหตุที่มีราคาแพง

เวลานี้จึงถือว่าไม้พะยูงเป็นไม้ที่ราคาแพงมากที่สุดในโลกและแพงกว่าไม้สัก ซึ่งราคาลูกบาศก์เมตรละไม่กี่หมื่นบาทเท่านั้น


“เทียนอันเหมิน” เข้าสู่ “กู้กง” หรือ “พระราชวังต้องห้าม” (Forbidden City)

ส่วนสาเหตุที่ไม้พะยูงมีราคาพุ่งสูงมาก เนื่องจากมีความนิยมในการใช้ไม้ชนิดนี้ในประเทศจีนอย่างมาก โดยเริ่มจากการนำเข้าไม้ชนิดนี้ไปซ่อมแซมพระราชวังต้องห้าม ในช่วงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี 2551
ต่อมาก็มีความนิยมนำไม้พะยูงไปแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ แต่ระยะหลังไม้พะยูงมีราคาพุ่งสูงขึ้นมาก ทางนายทุนจึงหันมาทำเป็นวัตถุมงคลและของแต่งบ้านชิ้นเล็ก ๆ เช่น ตัวปี่เซียะ เทพเจ้า ฮก ลก ซิ่ว แทน

ทำไมคนไทยไม่ใช้ประโยชน์จากไม้พะยูงมากเท่าไร ?
อย่างไรก็ตามในส่วนของคนไทยไม่นิยมใช้ประโยชน์จากไม้พะยูง เพราะมีความเชื่อบางอย่าง จึงไม่นำไม้พะยูงมาทำเป็นไม้กระดาน เตียงนอน และบันไดบ้าน ใช้เพียงทำรั้วบ้านเท่านั้น
สำหรับไม้พะยูงนั้นเป็นไม้เนื้อแข็ง ตระกูลเดียวกับไม้แดง ไม้ประดู่ ที่สำคัญในเวลานี้ไม้พะยูงถือว่าเหลือเฉพาะในประเทศไทยเพียงแห่งเดียวในโลก เพราะประเทศลาวที่เคยมีก็หมดไปแล้ว


"หากสถานการณ์การลักลอบตัดไม้พะยูงยังรุนแรงเช่นนี้ไปอีกเรื่อยๆ คาดว่าอีกไม่เกิน 2 ปี ไม่เพียงแต่ไม้พะยูงจะหายไปจากประเทศไทยเท่านั้น แต่จะหมายความว่ามันได้หายไปจากโลกอีกด้วย เพราะเป็นไม้ เนื้อแข็งมากที่ปลูกยาก โตช้า ใช้เวลามากถึง 40 ปี ถึงจะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งพบว่า ตอไม้ที่ถูกตัดโค่นนั้นมีอายุเป็นร้อย ๆ ปี จึง น่าเสียดายเอามากๆ "

เจ้าหน้าที่ ปทส.รายหนึ่งให้ข้อมูลว่า
หาก จะแก้ปัญหานี้ ภาครัฐควรทำการรณรงค์และปลุกจิตสำนึกให้ชาวบ้านรู้คุณค่าของทรัพย์กรป่าไม้ และภัยพิบัติที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่าอย่างจริงจังและต่อเนื่อง พร้อมทั้งสร้างอาชีพ เสริมรายได้ให้กับพวกเขา เชื่อว่าคงไม่มีใครอยากถูกตราหน้าว่าเป็นคน เนรคุณต่อแผ่นดินเกิดอย่างแน่นอน


ภาพและเนื้อหาเรียบเรียงจาก -http://www.thaicontractors.com/content/cmenu/5/116/574.html
-http://www.neutron.rmutphysics.com
-เว็บเดลินิวส์ และ เว็บ forest.go.th
-www.monmai.com
- http://www.banmuang.co.th/2012/07/
- http://www.pccl.ac.th/external_newsblog.php?links=1721





ส่วนเนื้อไม้ที่ได้จะมีสีแดงอมม่วงถึงแดงเลือดหมูแก่ เนื้อละเอียดแข็งแรงทนทาน ขัดและชักเงาไ้ด้ดีใช้ทำี เครื่องเรือน เกวียน เครื่องกลึงแกะสลัก ทำเครื่องดนตรี เช่น ซอ ขลุ่ย ลูกระนาด และแม้แต่ ช้อน ส้อม

วันอังคารที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ไม้มะริด ไม้ป่าหายาก

ต้นมะริด เป็นไม้ป่า และเป็นไม้ยืนต้น สูงประมาณ 20-30 เมตร เป็นไม้เนื้อแข็ง สามารถปลูกได้ทุกภูมิภาคของไทย จากการศึกษาของกรมป่าไม้ พบว่าต้นมะริด ซึ่งเป็นไม้ป่าที่ใกล้กำลังจะสูญพันธุ์ หาแถบไม่ได้แล้วในป่า จะพบเห็นบ้างประปรายก็ตามบ้านเรือน โดยเฉพาะจะเป็นกลุ่ม ที่ชื่นชอบไม้ป่า หรือ ไม้ไทยที่หายาก หรือ กลุ่มคนรวยเท่านั้น ซึ่งเขามีไว้เพื่อประดับบารมีไว้เพื่ออวดกันเท่านั้น จากการสำรวจในป่าไม้ของประเทศไทย ตอนนี้ ไม่มีแล้ว การขยายพันธุ์ ก็โดยการใช้เมล็ด ซึ่งก็จะมีอัตราการงอกต่ำมาก เมล็ดจะเป็นสีดำ และแข็ง อัตราการงอกจะอยู่ที่ 100 เมล็ด/30 เครื่องดนตรี เสียงดี ดังดี ถ้าใช้ไม้มะริด ซึ่งเป็นไม้ป่า ที่ำใกล้จะสูญพันธุ์ ซึ่งหายากมากในขณะนี้ เนื้อไม้แข็งมากๆๆ มอด ปลวก ไม่ได้แ้อ้มเขาแน่ อย่างที่เขาว่ากันนั่นแหละ ที่ว่าเลื่อยยนต์เรียกพี่ครับ เนื้อไม้เป็นสีแดง เป็นลายลิ้วเลยเชียวครับ ไม้มะริด ถือว่าเป็นไม้ที่แข็งแกร่ง จึงมีการนำมาใช้ประโยชน์ ประเภทพวก เครื่องดนตรี ไม่ว่า จะเป็นเครื่องไทย เครื่องมอญ ด้ามปืน เชี่ยนหมาก พระอบ ด้ามมีหมอฝังมุก หรือกล่องใส่ เครื่องเพชรที่ประดับไปด้วย มุก หรือฝังเพชร บ้างก็นำมาทำเป็นเครื่องลางของขลัง อย่างเช่นบางวัด ไม่วาจะเป็นวัดไทยวัดจีน ก็ได้นำต้นมะริด มาแกะสลักเป็นพระพุทธรูป หรือเจ้าแม่กวนอิมบ้าง ส่วนเมล็ด ก็นำมาร้อยเป็นลูกประคำ หรือไม่ก็มาทำเป็นเครื่องประดับ ผมเคยเห็นมีขายแถวร้านเพชรทองแถวเยาวราช แต่ก็แปลกนะ “ทำไมภาครัฐถึงได้ ไม่ให้ความสนใจในการสนับสนุนให้ปลูก ทั้งๆที่เป็นไม้ไทยที่หายาก มีแต่ไปสนับสนุนที่เป็น ไม้เศรษฐกิจ ผมคนหนึ่งหล่ะ ที่ไม่ค่อยสนใจ ประเภทพวกไม้เศรษฐกิจ เพราะว่า เราใช้เวลาเท่ากัน แต่เวลาที่ขาย ราคาต่างกันมาก จะไปว่าคนซื้อมากดราคาก็ไม่ได้ เพราะว่า มันเป็น Suply มากกว่า Demand แต่ถ้าเราปลูกไม้ที่ไม่ค่อยมีคนปลูก ราคาก็สูงกว่ากันหลายเท่าตัว ทุกอย่างมันกฎเกณฑ์ ของธรรมชาติ ขอเล่าแค่นี้ก่อนนะครับ มีเวลาว่างจะมาเขียนเล่าให้อ่านใหม่ ถ้าอยากรู้อยากอ่านเพิ่มเติมก็ลองไปที่เวป ThaiG ดูนะครับผมเห็นเขาเขียนเอาไว้ ก้อเลยเอาลิ้งมาแปะไว้ เพื่อท่านใดสนใจครับ คลิ๊คที่นี่ เอกสารอ้างอิง: หนังสือ พันธุ์ไม้ป่าไทย, กรมป่าไม้, หนังสือวิจัยโครงการปลูกไม้ป่า

วันอาทิตย์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2557

MOSQUITO FERN

http://en.wikipedia.org/wiki/Azolla



http://www.olx.co.th/product-3466540/

แหนแดง ปุ๋ยชีวภาพที่หลายคนไม่รู้

แหนแดง
แหนแดงเป็นปุ๋ยชีวภาพชนิดหนึ่ง ถูกนำมาใช้ในรูปของปุ๋ยพืชสดในการผลิตพืช เนื่องจากแหนแดงมีไนโตรเจนเป็นองคืประกอบสูงถึง
ประมาณร้อยละ 3 – 5 สามารถช่วยทดแทน หือลดการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจนได้แหนแดง เป็นเฟิร์นชนิดหนึ่งที่มีขนาดเล็ก พออยู่ทั่วไปบริเวณน้ำนิ่ง
ลำต้นเป็นแบบไรโยม (rhjzome) สั้น ๆ แตกกิ่งออกสองข้างแบบสลับ ใบมีขนาดเล็กเป็นใบประกอบ มีใบย่อย 7 – 10 ใบ เรียงสลับซ้อนกันอยู่
ไม่มีก้านใบใบย่อยแต่ละใบประกอบด้วย 2 ส่วน คือส่วนบน (dorsal lobe) และส่วนล่าง (ventral lobe) โดยใบย่อยส่วนบนจะมีโพรงใบซึ่งเป็นที่
อาศัยของไชยาโนแบคทีเรียชนิดหนึ่งชื่อ Anabaena azallae อาศัยอยู่แบบให้ประโยชน์ร่วมกันกับแหนแดงโดยแบคทีเรียชนิดนี้มีประสิทธิภาพใน
การตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้แหนแดงใช้ในรูปของแอมโมเนียมได้สูง และมากพอสำหรับการเจริญเติบโตของแหนแดงเอง
แหนแดงสามารถขยายตัวได้รวดเร็ว เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จะให้ผลผลิตแหนแดงสดถึง 3 ตันต่อไร่ ภายในระยะเวลาประมาณ
30 วัน และสามารถตรึงไนโตรเจนได้ถึง 5 – 10 กิโลกรัมต่อไร่ จากนั้น ไนโตรเจนจะค่อย ๆ ถูกปลดปล่อยออกมาหลังจากแหนแดงย่อยสลาย
เนื่องจากแหนแดงมีอัตราส่วนคาร์บอนต่อไนโตรเจน (C:N) ต่ำ ทำให้สามารถย่อยสลาย และปลดปล่อยธาตุอาหารออกมาให้พืชใช้ได้อย่างรวดเร็ว
ทำให้แหนแดงถูกนำมาใช้เป็นปุ๋ยพืชสด เพื่อทดแทนปุ๋ยไนโตรเจนในนาข้าวอย่างแพร่หลายในประเทศจีน และเวียดนามแหนแดงสามารถใช้ทำ
เป็นปุ๋ยอินทรีย์เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดนิในแปลงผักเกษตรอินทรีย์ได้โดยตรง หรือจะใช้คลุกรวมกับฟางข้าวหรือวัสดุอินทรีย์อื่น ๆ เพื่อทำ
ปุ๋ยหมักก็จะช่วยทำหปุ๋ยหมักนั้นย่อยสบายตัวเร็วขึ้น
การผลิตเชื้อพันธ็แหนแดง สำหรับแหนแดงนั้นสามารถขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศได้อย่างรวดเร็ว โดยการแตกกิ่งแขนงแบบสลับกัน เมื่อ
กิ่งแขนงแกจัดจะมีสีเขียวเข้ม แล้วค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล กิ่งแขนงย่อยจะหลุดออกมาเป็นต้นไม้เล็ก ๆ การขยายพันธุ์ของแหนแดงโดยวิธีนี้
ทำให้สามารถเพิ่มปริมาณของแหนแดงเป็นสองเท่า ภายใน 7 – 10 วัน ขึ้นอยุ่กับสภาพแวดล้อมการผลิตเชื้อพันธุ์แหนแดงเริ่มต้นโดยการขังน้ำ
ให้ลึก ในระดับอย่างน้อย 5 เซนติเมตร ใส่เชื้อพันธุ์แหนแดงประมมณ 200 กรัมต่อตารางเมตร เมื่อแหนแดงขยายเต็มที่จะได้น้ำหนักสดประมาณ
2 กิโลกรัมต่อตารางเมตร จากนั้นขยายแหนแดงลงในพื้นที่ ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อให้ได้ปริมาณที่ต้องการ แหนแดงเหมาะสำหรับใช้เป็นปุ๋ยพืชสด
ในนาข้าว โดยการเลี้ยงแหนแดงก่อนการปักดำประมาณ 1 เดือน เมื่อแหนแดงขยายเต็มนาข้าวแล้วจึงทำการไถกลบก่อนดำนา หลังจากนั้นอาจจะ
หว่านแหนแดงอีกครั้งระหว่างที่ต้นข้าวเจริญเติบโต โดยเลี้ยแหนแดงก่อนห่านข้าวประมาณ 30 วัน โดยการหว่านแหนแดงประมาณ 100 – 300
กิโลกรัมต่อไร่ ควรรักษาระดับน้ำให้ลึกอย่างน้อย 5 เซนติเมตร และเมื่อแหนแดงเจริญเติบโตเต็มที่ให้ปล่อยน้ำออกแล้วไถกลบแหนแดง หลังจาก
นั้นจึงทำการหว่านข้าวหรือดำนา
แหนแดงใช้ทดแทน หรือลดการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจน ช่วยเพิ่มอินทรีย์วัตถุ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเคมี นอกจากนั้น ยังใช้เป็นปุ๋ย
อินทรีย์สำหรับพืชผัก และผลไม้ ใช้เป็นอาหารสัตว์จำพวกเป็ด – ไก่ ปลา หรือสุกร ประการสำคัญมีต้นทุนการผลิตต่ำ
 

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หลวงพ่อโด่ ( พระครูพินิจสมาจาร ) วัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี


 
หลวงพ่อโด่ อินทโชโต พระเกจิอาจารย์ชื่อดังเมืองชล
คอลัมน์ อริยะโลกที่ 6
ชำนาญ ใจเอื้อ


"พระครูพินิจสมาจาร" หรือ "หลวงพ่อโด่ อินทโชโต" เจ้าอาวาสวัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เป็นพระเกจิอาจารย์เรืองวิทยาคมรุ่นเก่าอีกรูปหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วภาคตะวันออก

อัตโนประวัติ เกิดในสกุล ชัยเสมอ เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2420 ที่บ้านเนินมะกอก ต.นามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายแพ และนางจีน ชัยเสมอ

ในช่วงวัยเยาว์ โยมบิดา-มารดาได้ให้บุตรชายไปอยู่ในความอุปการะของนายฮวดและนางแตงกวา คหบดีบ้านหัวสะพาน ได้เรียนหนังสือขอมและหนังสือไทย จนแตกฉาน

กระทั่งอายุครบ 21 ปีบริบูรณ์ ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ วัดนามะตูม โดยมีพระอาจารย์เพ็ง วัดหน้าพระธาตุ เป็นพระอุปัชฌาจารย์, พระอาจารย์ปั้น วัดนามะตูม เป็นพระกรรม วาจาจารย์ และพระอาจารย์คง วัดประชา ระบือธรรม (วัดบางกระบือ) กรุงเทพฯ เป็นพระอนุสาวนาจารย์

ภายหลังอุปสมบท พระภิกษุโด่ได้ศึกษาพระธรรมวินัยตามควรแก่พระนวกะสมัยนั้น พ.ศ.2446 หลวงพ่อโด่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนามะตูม

พ.ศ.2476 เป็นเจ้าคณะตำบลนามะตูม พ.ศ.2481 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2503 เป็นเจ้าคณะอำเภอพนัสนิคม

พ.ศ.2481 ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นตรี ในราชทินนามที่ พระครูพินิจสมาจาร

พ.ศ.2511 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก ในราชทินนามเดิม

หลวงพ่อโด่ อินทโชโต ได้ศึกษาวิทยาคมอีกหลายแขนง โดยได้รับการถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อเอี่ยม วัดนอก จ.ชลบุรี ส่วนด้านการแพทย์แผนโบราณนั้นท่านก็ได้ศึกษาจากหลวงพ่อปั้นและโยมจอกอย่างรอบรู้

หลวงพ่อโด่เป็นผู้สร้างคุณงามความดีฝากไว้ในบวรพระ พุทธศาสนาเป็นเวลานาน เป็นผู้ริเริ่มสร้างวัด 3 วัด คือ วัดเนินหลังเต่า ต.บ้านช้าง อ.พนัสนิคม, วัดทุ่งเหียง และวัดหนองยาง ต.หนองบอนแดง อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

นอกจากนี้ ยังได้ซื้อที่ดินถวายวัดเกาะโพธิ์ ต.ท่าบุญมี เพื่อขยายให้กว้าง 1 ไร่ และสมทบสร้างโรงพยาบาลสงฆ์ที่ชลบุรี อุปการะเลี้ยงพระภิกษุ-สามเณรที่สำนักสงฆ์จิตภาวัน อ.บางละมุง

สำหรับการบูรณะวัดวาอารามให้อยู่ในสภาพดี ทั้งวัดในปกครองและวัดที่อยู่ในความดูแลของท่าน สร้างตั้งแต่กุฏิ หอฉัน มณฑป อุโบสถ ศาลาการเปรียญ เมรุเผาศพ ศาลาหน้าเมรุ

หลวงพ่อโด่ยังได้สร้างวัตถุมงคลเป็นจำนวนมาก ล้วนแต่ได้รับความนิยมจากบรรดานักสะสมนิยมพระเครื่อง อาทิ เหรียญหลวงพ่อโด่รุ่นแรก ปีพ.ศ.2496 เหรียญสร้างโบสถ์วัดบ้านใหม่ปีพ.ศ.2500, เหรียญฉลองเลื่อนสมณศักดิ์ พ.ศ. 2503 เหรียญกลมและเหรียญจักร พ.ศ.2513 พระปิดตาท่านก็ได้สร้างไว้หลายรุ่น

ท่านมีลูกศิษย์มากมายที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก คือ หลวงปู่โทน กันตสีโล วัดเขาน้อยคีรีวัน อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี

หลวงพ่อโด่ วัดนามะตูม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี เป็นหนึ่งในพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังแห่งอำเภอพนัสนิคม ด้วยท่านเป็นคนพื้นเพในแถบนี้

ในช่วงปี พ.ศ.2500 จนถึงปีพ.ศ.2515 ท่านนับว่าเป็นพระเกจิที่ดังที่สุดของอำเภอพนัสนิคม และมีชื่อเสียงในแถบตะวันออกอย่างมาก พิธีปลุกเสกของวัดต่างๆ ในสมัยนั้น จะต้องมีชื่อของหลวงพ่อโด่ เช่น พิธีปลุกเสกพระหลวงพ่อโสธรรุ่นเก่าๆ หลายรุ่น พิธีจักรพรรดิปี 2515 พิษณุโลก และพิธีปลุกเสกพระพุทธ 25 ศตวรรษ เป็นต้น

หลวงพ่อโด่ ในฐานะเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้ให้การอุปสมบทแก่กุลบุตรเป็นจำนวนมาก โดยมิได้เลือกว่าจะเป็นใครมาจากไหน ที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติทางพระธรรมวินัย ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์จนวาระสุดท้าย

ช่วงวันที่ 22 มีนาคม 2515 เมื่อเสร็จพิธีอุปสมบท ท่านได้ล้มป่วยอาพาธลง คณะศิษย์ได้นำท่านส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยวัยที่ชราภาพ ทำให้อาการมีแต่ทรุดหนักลง

ในที่สุด หลวงพ่อโด่ อินทโชโต ได้มรณภาพด้วยอาการอันสงบ ในคืนวันที่ 10 เมษายน 2515 สิริอายุ 95 พรรษา 74 ท่ามกลางความเศร้าสลดของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์

ในการนี้ ได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2518 ณ เมรุวัดนามะตูม

การจากไปของท่านได้สร้างความเศร้าสลดแก่คณะศิษย์และผู้ที่ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง แม้ท่านจะมรณภาพไปแล้ว แต่นาม "หลวงพ่อโด่ อินทโชโต" ยังอยู่ในศรัทธาของ พุทธศาสนิกชนชาวเมืองชลบุรีตราบจนปัจจุบัน