Dating with thai girls

Dating with thai girls
Dating with thai girls

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

ในภาพอาจจะมี ท้องฟ้า, สถานที่กลางแจ้ง และ น้ำ

Pattaya-Hua Hin ferry officially launched

Pattaya to Hua Hin Ferry Tickets

The Royal Passenger Liner Company, Pattaya to Hua Hin ferry departs from Bali Hai Pier, South Pattaya, and arrives at Khao Ta Kiab Pier, Hua Hin every day. The journey time is 2 hours, opposed to a time of 4 hours 16 minutes by road.
Pattaya to Hua Hin ferry tickets can be purchased in person at Bali Hai pier, by telephone through the Royal Passenger Liner Company, or on-line through 12go.asia.

Pattaya Hua Hin Ferry Schedule

According to the ferry operator’s website and 12go.asia the ferry departs Bali Hai pier in Pattaya at 10:00 am and arrives in Hua Hin 2 hours later at 12:00 pm.
The return journey departs from Khao Ta Kiab Pier, Hua Hin at 12:30 pm, and arrives in Pattaya at 2:30 pm.

Buy Tickets for the Pattaya to Hua Hin ferry

Buy tickets in person: Pattaya: You can buy tickets least 1 hour in advance, and up to a maximum of 15 days in advance at Pattaya Automatic Parking, 2nd Floor, Bali Hai Pier.
Buy tickets in person, Hua Hin: Takiab Beach Soi 3, Nongkae, Hua Hin, Prachuap Khiri Khan.
For more details about buying tickets in person, or by telephone, please visit the Royal Passenger Liner website.

Buy Pattaya to Hua Hin Ferry Tickets online

You can purchase Pattaya to Hua Hin ferry tickets online (minimum 1 day in advance) very easily through 12go.asia. After reserving your seat/s just follow the ticket delivery/collection details which will be sent by email along with your voucher. 12go is a service I have used myself to book tickets for the Bangkok to Chiang Mai train.

Pattaya Hua Hin Ferry Ticket Prices

At the time of writing (June 2017) ticket prices are as follows:
  • Standard seat: 1,250 baht.
  • Business class: 1,550 baht.
  • Standard seat online booking: 1,301 baht.
  • Business seat online booking: 1,613
  • Please note: 12go have optional travel insurance, please make sure you uncheck the option if you do not require it.
There is also 2 VIP rooms listed on the Royal Passenger Liner website, at the moment, this option is not available on 12go.asia.
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เฟอร์รี่ พัทยา-หัวหิน

วันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เครื่องรางของขลังในสมัยก่อน


http://board.postjung.com/data/709/709814-topic-ix-1.jpg



ไสยศาสตร์ เป็นวิชาว่าด้วยลัทธิเวทมนตร์ คาถาและวิทยาคม เป็นศาสตร์ศาสตร์หนึ่งที่แยกย่อยมาจากศาสตร์ 18 ประการของอินเดียโบราณ และเป็นที่มาของ “เครื่องรางของขลัง”
ไสยศาสตร์แทรกอยู่ใน ความเชื่อ ของคนไทยมาแต่โบราณ ไม่น้อยกว่า 700 ปี โดยแทรกอยู่กับความเป็น วิถีชีวิต ของคนไทย ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ไม่ว่าจะเป็น การทำน้ำมนต์ โกนผมไฟ ทำขวัญ ขึ้นบ้านใหม่ ทำบันไดผี การสะเดาะเคราะห์ ฯลฯ
จากหลักฐานบันทึกความทรงจำพระนิพนธ์ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ระบุตอนหนึ่งว่า... “ส่วนตัวฉันเองจะเป็นใครแนะนำจำไม่ได้เสียแล้ว เกิดอยากเรียน วิชาอาคม คือวิชาที่ทำให้อยู่ยงคงกระพันชาตรี ด้วย ‘เวทมนตร์’ และ ‘เครื่องราง’ ต่างๆ มีผู้พาอาจารย์มาให้รู้จักหลายคน ที่เป็นตัวสำคัญนั้นคือนักองค์วัตถา น้องสมเด็จพระนโรดมเจ้ากรุงกัมพูชา...การศึกษาวิทยาคมในสมัยนั้น โดยเฉพาะเด็กกำลังรุ่นหนุ่มเช่นตัวฉัน ด้วยได้ฟังเขาเล่าเรื่องและบางทีทดลองให้เห็นอิทธิฤทธิ์ กับทั้งได้สะสมมีเครื่องรางแปลกๆ ประหลาดที่ไม่เคยเห็น...” 
อิทธิฤทธิ์ 'เครื่องรางของขลัง' ดับความกลัว เผชิญหน้าความตาย 
ไม่ว่าวิทยาศาสตร์จะเจริญก้าวหน้าเพียงใด แต่ความเชื่อทางไสยศาสตร์ไม่มีวันที่จะหมดไปจากมนุษยชาติได้ มิใช่เพียงแต่เมืองไทยเท่านั้นที่มีความเชื่อในด้านไสยศาสตร์ หลายๆ ประเทศที่เจริญและพัฒนาแล้วก็ยังมีความเชื่อในด้านไสยศาสตร์ของประเทศนั้นๆ เพราะไสยศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย ขึ้นอยู่กับผู้ที่นำไปใช้ เช่น สักยันต์แล้วตั้งตนอยู่ในศีลธรรม “ของ” นั้น ก็จะคงทนถาวรไม่เสื่อมและ ยิ่งเพิ่มความขลังยิ่งขึ้น
คำว่า ไสย นั้น มีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง
กำเนิดเครื่องรางของขลัง
แม้เครื่องรางของขลังจะไม่ปรากฏชัดในพุทธศาสนา แต่เมื่อสืบสาวราวเรื่องไปเมื่อสมัยครั้งพุทธกาล หลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ทำให้ศาสนาพุทธไม่มีความเป็นเอกภาพ ทั้งยังมีคู่แข่งจากศาสนาพราหมณ์ และฮินดู ซึ่งเป็นศาสนาที่เน้นพิธีกรรมที่เข้าถึงได้ง่ายมากกว่าพระพุทธศาสนาที่เน้น เรื่องปรั ชญาที่ลึกซึ้ง เข้าถึงได้ยากเป็นนามธรรมมากเกินไป แตกต่างกับการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามศาสนาพราหมณ์ และฮินดู เมื่อนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้วจะประสบความสำเร็จ
ดังนั้น จึงเกิด “พุทธตันตระ” ขึ้นมาเป็นการรวบรวม 2 นิกายคือ พราหมณ์ และ ฮินดู เข้าด้วยกัน และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ “ยุคเครื่องรางของขลัง” โดยให้มี เวทมนตร์คาถาขึ้นมาเพื่ออำนวยผลให้มีความปลอดภัย และโชคลาภ โดยมีอุดมคติว่า มนุษย์มีความชาญฉลาดไม่เท่ากัน จำเป็นต้องพึงเวทมนตร์คาถา ต่อจากนั้นจึงเกิด มนตรา เลขยันต์เครื่องรางของขลัง จนในที่สุดก็เกิดเป็นมนตราญาณขึ้นมาในการบูชาเทวรูป
“ที่เห็นได้ชัดคือ วัดพุทไธศวรรค์ เป็นวัดที่สั่งสอนศิลปวิทยาสอนวิชาพิชัยสงคราม เวทมนตร์คาถา สอนกระบี่กระบอง เพื่อใช้ในการรบการศึกสงคราม เพราะปกติศาสนาพุทธเชื่อว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ที่เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา” นายณัฐธัญ กล่าว
พลานุภาพเครื่องรางของขลัง
“ระดับพลทหาร จะเป็นเพียงวิชาคงกระพัน แคล้วคลาดทั่วไปเท่านั้น แต่ในระดับแม่ทัพนายกอง จะเป็นเครื่องรางของขลังและเวทมนตร์คาถา ที่จะช่วยให้ทั้งกองทัพอยู่รอดและแคล้วคลาด อุปถัมภ์ค้ำชูพวกพ้องได้ เช่น วิชาแต่งคน หรือ นารายณ์คุมพล ซึ่งเป็นวิชาที่คนทั่วไปไม่ได้เรียน” นายณัฐธัญ กล่าว
“บ้างอยู่ด้วยรากไม้ไพรว่าน
นาย ณัฐธัญ กล่าวว่า บทกลอนนี้ได้สะท้อนถึงความเชื่อในเครื่องรางของขลังทั้งในสิ่งที่เกิดขึ้นใน ธรรมชาติ และมนุษย์สร้างขึ้น เช่น ความเชื่อว่า ว่านยาต่างๆ เช่น กลิ้นกลางดง ที่เชื่อว่ากินเข้าไปแล้วจะคงกระพันชาตรี หรือ พลานุภาพจากยางไม้ ที่เล่าลือกันมากคือ "ยางโมกแดง" นำมาผสมกับน้ำมันงา หรือ "ไพรดำ" ที่เชื่อว่าเป็นว่านศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหมดนำมาเข้าพิธีกรรมพร้อมกับลงอาคมคาถาปลุกเสกด้วย
ที่สำคัญในการท่องพระคาถา ผู้ปลุกเสกจะต้องมีการกักลม ในระหว่างหายใจเข้าพร้อมกับท่องพระคาถาให้จนจบบทก่อนจะหายใจออกด้วยจิตใจอัน สงบสุขจึ งจะถือได้ว่าพระคาถานั้นสัมฤทธิผล
พระคาถาที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก คือ บทมหาธรรมมืดเลื่องลือมากเรื่องความคงกระพันชาตรี จากนั้นจึงเรียกเข้าตัว ก็จะทำให้ผู้นั้นจะคงกระพัน ซึ่งเป็น วิชาของ แม่ทัพนายกอง ที่จะนำไปใช้ก่อนจะออกศึกสู้รบ เพราะจะได้ใช้วิชาเหล่านี้ทำให้ พลทหารเกิดขวัญกำลังใจ ไม่ให้รักตัวกลัวตาย แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าออกรบสงครามต้องไปตายแน่ๆ
ทั้งนี้ ยังมีเครื่องรางที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ เช่น "เขี้ยวเสือโปร่งฟ้า" "เพชรตาแมว" "งากำจัด-งากำจาย" หรือ "คด" เม็ดมะขามเป็นทองแดง มีลักษณะคล้ายหินสีแดง และ "หนังเสือ" ที่จะนำไปใช้ทำกลองศึกกลองรบให้เป็นลีลาราชสีห์ เพื่อให้ศัตรูกลัว ถือเป็นเรื่อง คติชนวิทยา หรือ "กลอุบาย" การจะส่งคนไปตายจะทำอย่างไรไม่ให้คนเหล่านี้หวาดกลัวความตาย
"เจ้าพระยาบดินทรเดชาสิงหเสนี พระองค์ทรงเก่งมากในวิชา เสกน้ำมันงาแต่งคนไปรบ ให้มีความคงกระพันชาตรีแก่พลทหารที่จะไปออกศึกสงคราม ส่วนน้ำมันงาที่เหลือจะนำไปปลุกเสกสสร้างพระกรุในสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่ง เรื่องราวเหล่ านี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ได้ว่ามีจริงหรือไม่ เพราะความเป็นจริงทหารที่ไปรบในสงครามก็ตายกันเป็นเบือ แต่ถ้าไม่มีเรื่องราวเหล่านี้ก็จะทำให้สงครามดูเป็นเรื่องแฟนตาซี" นายณัฐธัญ กล่าว
ทุกยุคเครื่องรางเคียงข้างสู้ศึก 
“วิกฤตการเมืองขณะนี้ เครื่องรางของขลังที่ควรพก ติดตัวคืออะไรก็ได้ เพราะ สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่เครื่องราง แต่อยู่ที่ตัวผู้พกและเครื่องรางต้องประสานกัน กล่าวคือ ผู้พกเครื่องรางต้องมีจิตใจนับถือศรัทธาปฏิบัติตาม “มรรคา” จริงๆ แม้ว่าจะพกติดตัวอะไรก็ตาม ถ้าไม่ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดก็จะตายได้ทั้งนั้น แม้ว่าจะพก ติดตัวพระวัดระฆัง หรือ จตุคามฯ ก็ตายได้”นายณัฐธัญ กล่าวทิ้งท้าย
นายมิกกี้ ฮาร์ท นักวิชาการชาวพม่า กล่าวว่า มหาเถระคันฉ่อง ที่เชื่อกันว่า เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประสิทธิ์ประสาทวิชาคาถาอาคมต่างๆ ทำให้เกิดกิริยาปาฏิหาริย์รวมถึงกลศึกสู้รบนั้น มหาเถระ คันฉ่องในประวัติศาสตร์พม่าไม่มี หรือแม้แต่ที่ร่ำลือว่า มหาเถระคันฉ่องเป็นคนชนชาติมอญก็ไม่ปรากฏพบในประวัติศาสตร์ของพม่าแต่อย่าง ใด แต่เชื่อว่าสาเหตุที่มีความเชื่อว่ามหาเถระคันฉ่องเป็นชาวมอญ นั้น เพราะมอญกับพม่าเป็นศัตรูกัน ดังนั้นไทยจึงถือว่า ศัตรูของศัตรูเป็นมิตรของเรา
ด้าน นายศรีศักร วัลลิโภดม นักประวัติศาสตร์ กล่าวว่า ในสมัยที่พระนเรศวรออกรบยังไม่มีบันทึกว่าพระองค์ใช้เครื่องรางของขลังอะไร แต่จะมีบันทึกเมื่อปลายสมัยอยุธยาตอนปลายว่าคนสมัยนั้น มีการใช้เครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะในยามศึกศงคราม เช่น ผ้า ประเจียก ยันต์ ตะกรุด ที่สำคัญในสมัยก่อนจะไม่นำ พระเครื่องมาแขวนหรือห้อยติดตัว เพราะมีความเชื่อว่า ร่างกายเป็นสิ่งบริสุทธิ์ ส่วนพระเครื่องที่สร้างปลุกเสกขึ้นมาส่วนใหญ่จะนำไปถวายพระ
แต่ต่อมาเมื่อช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ช่วงนั้นได้รับอิทธิพลความเชื่อจีนที่แพร่เข้ามาอย่างมากและรวดเร็ว เรื่อง “เครื่องกายสิทธิ์”ยุคแห่งเครื่องรางของขลังจึงถือกำเนิดขึ้น เช่น พระโคนสมอ ถามว่าทำไมสิ่งเหล่านี้จึงได้รับอิทธิพลอย่างรวดเร็ว เพราะว่าตอนนั้นคนไทยอยู่ในช่วงภาวะศึกสงคราม บ้านเมืองแตกความสามัคคี มีความไม่มั่นคงในการดำรงชีวิต
นายศรีศักร กล่าวต่อว่า ในสมัยโบราณไทยสู้กับพม่า แต่พอมาถึงรัชกาลที่ 4 และ 5 ที่สู้รบกับการไล่ล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 6 ประเทศไทยต้องส่งคนไปรบในสงครามอินโดจีน หลังจากนั้นไม่นานความเชื่อแบบจีนและเขมรก็เข้ามาที่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ จนมีพระเครื่องวัตถุมงคล สร้างวัดวาอาราม เน้นพิธีกรรมทางศาสนากระเดียดไปทางไสยศาสตร์ ที่ต้องการปลุกความมั่นคงความปลอดภัย และความ สบายใจของมนุษย์
ขอบคุณข้อมูลจาก : www.khalong.com/board2/viewthread.php?tid=296







“ไสยขาว” อัน หมายถึงวิชชาอันลึกลับใช้เวทมนตร์ ไปในทางที่ดี เช่นการทำเครื่องรางของขลังและวัตถุมงคลต่างๆ เพื่อป้องกันภัยอันตราย หรือเพื่อเป็นเมตตามหานิยม เมตตามหาเสน่ห์และอิทธิวิธี
“ไสยดำ” หมายถึงวิชชาที่กระทำคนให้เป็นไปต่างๆ นานา เช่น ปล่อยคุณไสย ปล่อยตะปูเข้าท้องคนอื่น ปล่อยหนังควายเข้าท้อง บิดลำไส้ ปล่อยผีไปทำร้ายผู้อื่นให้มีอันเป็นไปต่างๆ นานา นำบาตรวัดร้างไปฝังเพื่อทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด เป็นต้น

นายณัฐธัญ มณีรัตน์ นักศึกษาปริญญาโท สาขาปรัชญา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่าให้ฟังว่า ต้นกำเนิดของเครื่องรางของขลังเป็นสิ่งที่เชื่อกันทุกชาติ ทุกเผ่าพันธุ์ เพราะมนุษย์ต้องการความมั่นคงและความเชื่อมั่นทางจิตใจ โดยเฉพาะกลางศึกสงคราม ที่ต้องเผชิญหน้ากับความกลัว และ ความตาย ดังนั้น “เลข ยันต์ และเครื่องรางของขลัง” จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งความเชื่อในเรื่องราวเหล่านี้มาจากความเชื่อทางพุทธศาสนาเถรวาท ลังกาวงศ์ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากชาวลังกา




นายณัฐธัญ กล่าวต่อว่า การสร้างเครื่องรางของขลัง จะต้องมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ คือ 1.พระยันต์ 2.คาถาที่ใช้กำกับพระยันต์ และ 3.คาถาที่ใช้กับเครื่องรางของขลังนั้นๆ ซึ่งเครื่องรางของขลังที่ใช้ในการศึกสงครามสมัยนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1. ประเภทที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีพลานุภาพในตัวได้แก่วัตถุอาถรรพ์ต่างๆ มีเขี้ยวสัตว์ คดหิน สิ่งเหล่านี้เชื่อว่าเป็นของที่มี คุณวิเศษในตัวเอง จะปลุกเสกหรือไม่ก็ได้ 2. ประเภทที่มนุษย์สร้างสรรค์หรือประดิษฐ์ขึ้นมาได้แก่ ผ้ายันต์ เชือกคาด ตะกรุด แบบต่างๆ ซึ่ง ในสมัยโบราณสิ่งเหล่านี้ จะไปใช้ในการสู้ศึกสงคราม ที่สำคัญในการสู้ศึกในกองทัพจะมีหลายชนชั้น ตั้งแต่พลทหาร จนไปถึง แม่ทัพนายกอง ซึ่งแต่ละกลุ่มคนจะใช้เครื่องรางของขลังเวทมนตร์คาถาแตกต่างกัน


บ้างอยู่ด้วยองค์อาจพระคาถา
บ้างอยู่ด้วยเลขยันต์น้ำมันทา
บ้างอยู่ด้วยสุราอาพัดกิน
บ้างอยู่ด้วยเขี้ยวงาแก้วตาสัตว์
บ้างอยู่ด้วยกำจัดทองแดงหิน
บ้างอยู่ด้วยเนื้อหนังเพชรนิล
ล้วนอยู่สิ้นคนทนศาสตรา” 






นายณัฐธัญ กล่าวว่า ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ขณะนั้นอยู่ในยุคการเล่าอาณานิคมของประเทศทวีปยุโรป พระองค์กำลังจะไปพบปะเจรจากับตัวแทนของประเทศผู้ล่าอาณานิคม ซึ่งกาลครั้งนั้น "หลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง" ได้ทำนายว่า ฝรั่งจะนำม้าพยศมาให้พระองค์ทรงลองขี่ หลวงปู่เอี่ยมจึงมอบพระคาถามงกุฎพระเจ้า ให้ พระองค์ทรงท่องจำ นำไปเสกหญ้าให้ม้ากิน สามารถปราบพยศม้าได้ หรือแม้ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 "หลวงปู่นาถ วัดหัวหิน" จ.ประจวบฯ เป็นประธานในพิธีปลุกเสกพร้อมพระเถระที่มีชื่อเสียง ได้ร่วมกันปลุกเสก "พระมฤคทายวัน" มอบให้แก่ทหารที่จะไปออกรบสู้ศึกสงคราม และข้าราชบริพารต่างๆ แต่พอถึงปัจจุบันพระเครื่องเริ่มเฟื่องฟู กลายเป็นพุทธพาณิชย์ประชาชนทั่วไปหาซื้อได้ง่าย แตกต่างจากสมัย่กอนที่จะต้องให้บุคคลสำคัญที่มียศฐาบรรดาศักดิ์เท่านั้น มีไว้ในครอบครอง






วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

10 อันดับลายสักยันต์ยอดนิยมของคนไทย (10 most popular tattoo designs of Thailand.)


ที่มา รายการ 5 มหานิยม
วัฒนธรรมการสักลวดลายบนผิวหนัง หรือที่เรียกกันว่า สักลาย หรือสักยันต์ นับเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของไทย ที่มีกันมาอย่างช้านานดังที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนัง ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าการสักเกิดขึ้นครั้งแรกแมื่อไหร่ ลวดลายการสักยันต์ต่างๆ ที่มีการดัดแปลงและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันของไทยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับความเชื่อ โดยผู้ที่สักยันต์นั้นมักจะหวังผลทางไสยศาสตร์ 2 อย่างคือ เมตตามหานิยมและคงกระพันชาตรี โดยในอดีตมีพระเกจิคณาจารย์หลายรูปที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดของการสักยันต์ ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีก็คือหลวงพ่อเปิ่นวัดบางพระ แก่นแท้ที่เป็นหัวใจของการสักยันต์นั้นอยู่ที่คาถา ซึ่งกำกับลวดลายแต่ละลาย เป็นคาถาชั้นสูงที่อาจารย์จะถ่ายทอดให้ลูกศิษย์ที่ไว้ใจเท่านั้น

ในปัจจุบันมีสำนักสักยันต์ ตลอดจนมีอาจารย์หลายต่อหลายคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องนี้ แต่ถ้าพูดถึงอาจารย์ชื่อดังที่ทำให้กระแสของการสักยันต์กลับมาโด่งดังไปในทุกวงการของประเทศไทยและเป็นที่รู้จักไกลไปทั่วโลกก็ต้องยกให้อาจารย์หนู กันภัย และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันลวดลายต่างๆ ของสำนักอาจารย์หนูนั้นมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เราจึงได้ทำการสำรวจความนิยมจากคนทุกวงการทั้งเหล่านักแสดงและประชาชนทั่วไปว่ารอยสักใดคือรอยสักยันต์ยอดฮิตที่พวกเขานิยมสักมาที่สุด

อันดับที่ 10 ยันต์เก้ายอด


เป็นยันต์ที่มีพุทธคุณด้านคงกระพันชาตรีและเป็นที่นิยมในหมู่นักรบสมัยโบราณ โดยมักจะสักไว้บริเวณท้ายทอย โดยเชื่อกันว่าผู้ที่สักยันต์เก้ายอดนั้นจะคงกระพันชาตรี ฟันแทงไม่เข้า ซึ่งผู้ที่รับการสักยันต์เก้ายอดนั้นจะต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นคนดีอยู่ในศีลธรรม หมั่นทำบุญอยู่เสมอ

อันดับที่ 9 ยันต์จิ้งจก




หรือเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นจิ้งจกชั้นพรหม ตัวแทนแห่งเสน่ห์ เมตตามหานิยมและเรียกทรัพย์ที่โด่งดังมานาน ตำแหน่งที่สักนั้นไม่จำกัด มีลายของจิ้งจกมากมายหลายแบบให้เลือกไม่ว่าจะเป็น จิ้งจกมหาโชค ด้วนมหาลาภ แฝดมหาลาภตะขอเงินตะขอทอง และเกี้ยวทับทองดำเป็นต้น

อันดับที่ 8 ยันต์คู่ชีวิต


หรือยันต์อะสิสันติ หรือพระพุทธเจ้าห้ามอาวุธเป็นยันต์ที่มีพุทธคุณป้องกันศาสตราวุธทั้งปวง เชื่อกันว่ามีแล้วชีวิตอยู่คง เป็นยันต์หนึ่งในตำราพิชัยสงครามที่ระบุไว้ว่าเป็นยันต์ชั้นสูงหาค่าประมาณมิได้

อันดับที่ 7 ยันต์แปดทิศ


หรือยันต์อิติปิโสแปดทิศ เป็นยันต์สารพัดป้องกันร้อยแปดที่ในอดีตผู้ที่ต้องเดินทางเข้าป่าหรือพระธุดงค์มักจะเขียนไว้ที่พื้นเสมอ เพื่อช่วยป้องกันสัตว์ร้าย ภูติผีปีศาจ ตลอดจนแคล้วคลาดจากอันตราย จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางไกลอยู่เสมอ

อันดับที่ 6 ยันต์โภคทรัพย์


เป็นรอยสักยันต์ที่มีพุทธคุณไม่แพ้ใคร เด่นทางด้านโภคทรัพย์ เงินทองไหลมาเทมา มีไว้ไม่อดตาย ทำมาค้าขึ้น มีเมตตามหานิยม จึงเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ทำการค้าและธุรกิจต่างๆ โดยส่วนใหญ่มักนิยมสักไว้ที่ท้ายทอยเช่นเดียวกับยันต์เก้ายอด

อันดับที่ 5 ยันต์โสฬสมงคล


ถือเป็นยันต์อันวิเศษสุดกว่ายันต์ทั้งปวง ผู้สักมักจะสักยันต์นี้ไว้ที่กลางหลัง ยันต์นี้ประกอบไปด้วยเลขสามชั้น ชั้นนอกลงด้วยเลข 16 ตัว รอบกลางลงด้วยเลข 12 ตัว ด้วยสูตรตรีนิสิงเห รอบในลงด้วยเลข 6 ตัว ด้วยสูตรจตุโร แล้วทำการลงอักขระเพื่อล้อมรอบยันต์ทั้งสี่ด้าน พร้อมว่าพระคาถาบารมีสามสิบทัศ

***หลวงปู่เอี่ยม วัดสะพานสูง ปากเกร็ด นนทบุรี ท่านเอามาจัดสร้างเป็นตะกรุด เรียกว่าตะกรุดโสฬสมงคล ช่วยแก้อาถรรพ์ต่างๆ และป้องกันภัยภยันตราย เสริมโชคลาภ ยันต์โสฬสมงคลเป็นยันต์ของสูง ในเวลาที่มีพิธีกรรมสร้างพระพุทธรูปจะมียันต์นี้ปรากฏอยู่ด้วย***

อันดับที่ 4 ยันต์เสือเหลียวหลัง


โดยทั่วไปยันต์เสือคือยันต์แห่งมหาอำนาจ ตบะ เดชะ และคงกระพัน แต่ถ้าเป็นยันต์เสือเหลียวหลังจะมีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยมพ่วงมาด้วย เป็นเเมตตาชนิดที่คนต้องหันมาเหลียวมองเรา จะสักบริเวณแผ่นหลังค่อนมาทางด้านล่าง นอกจากจะมีความสวยงามโดดเด่นแล้ว ยังมีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะดาราฮอลลีวู้ดชื่อดังแอนเจลิน่า โจลีได้เดินทางมาสักถึงเมืองไทย ยันต์เสือเหลียวหลังนี้เป็นเสือปางนารายณ์อวตาร ช่วยเรื่องเมตตามหานิยม ร้ายกลับกลายเป็นดี แก้ฮวงจุ้ยต่างๆ

อันดับที่ 3 ยันต์นะสำเร็จหรือยันต์นะมหาสำเร็จ


เป็นยันต์ที่นิยมนำมาสักบริเวณต้นคอแทนที่ยันต์เก้ายอด เพราะยันต์เก้ายอดมีอิทธิคุณทางมหาอุตที่อาจส่งผลให้อุดเงินไปด้วย ยันต์นะสำเร็จจึงเข้ามาแทนเพื่อช่วยเพิ่มเมตตา ทำการสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ กินไม่รู้สิ้น ช่วยเรื่องงานและโชคลาภโดยตรง

อันดับที่ 2 ยันต์ฉัตรเพชร


เป็นยันต์ที่มีลักษณะเป็นแถวเรียงลงมาแบบเดียวกับยันต์ห้าแถว แต่มีจุดเด่นเพิ่มขึ้นมาคือมีโครงตาข่ายเชื่อมกันระหว่างแถว โดยปกติทั่วไปนิยมสักยันต์ฉัตรเพชรไว้บริเวณไหล่ขวา ยันต์ฉัตรเพชรนี้โดดเด่นด้านโชคลาภการเงิน แก้ดวงชะตาที่ตกต่ำและเสริมดวง ยันต์ฉัตรเพชรค่ายกลนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ทำงานบริษัท ค้าขาย ผู้ที่มีบริวารเยอะ ลูกน้องเยอะ มียันต์นี้ไว้เป็นตาข่ายครอบคลุมป้องกันสิ่งไม่ดีต่างๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นตาข่ายเพชรหรือฉัตรเพชรนั่นเอง

อันดับที่ 1 ยันต์ห้าแถว


ยันต์นี้เป็นยันต์ที่อาจารย์หนู กันภัยคิดค้นขึ้นมาเอง เป็นที่นิยมและเป็นที่รู้จักมากเพราะแอนเจลิน่า โจลี่เดินทางมาสัก ทำให้คนในวงการบันเทิงของประเทศไทยและประชาชนทั่วไปเดินทางมาสักยันต์นี้กัน อาจารย์หนู กันภัยได้คิดค้นมาจากวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า โดยแถวที่หนึ่งช่วยแก้ฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัย แถวที่สองหนุนดวงโดยตรง แถวที่สามกันคุณ กันการกระทำ แถวที่สี่ช่วยเรื่องโชคลาภ ความสำเร็จ ทำอะไรก็ประสบกับความสำเร็จ แถวที่หนึ่งเป็นเมตตามหาเสน่ห์

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

Fruit and vegetables.

Fruit and vegetables are long known for their benefits since they offer some vitamins, minerals and freshness to the body. Various types of fruit are to serve different tastes. Your favorite fruit thus tells about your personality.

เป็นที่ทราบดี ว่า ผลไม้และผักนั้นมีคุณประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะเป็นแหล่งวิตามิน เกลือแร่ และทำให้ร่างกายมีความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า ด้วยผลไม้แต่ละชนิดให้รสชาติที่แตกต่างกัน และผลไม้ที่คุณชอบสามารถบอกบุคลิกลักษณะของคุณได้เช่นกัน

Banana
You look solemn. Actually, you are so sensitive and touchy. However, you are helpful, reasonable, careful and far-sighted. You always do planning for yourself and people around you. You are contented and like to help people who are in trouble.

คนที่ชอบทานกล้วย
คุณ ดูเหมือนเป็นคนเคร่งขรึม เอาจริงเอาจัง แต่ทว่ามีความอ่อนไหว และน้อยใจง่าย อย่างไรก็ตาม คุณก็เป็นคนที่มีความเกื้อกูล มีเหตุผล เอาใจใส่ และมองการณ์ไกล คุณมักคิดวางแผนให้ตัวเองและคนรอบข้าง และมีความยินดีที่จะช่วยเหลือคนที่ประสบกับปัญหาอยู่เสมอ

Rambutan
You are playful and like to keep people around you happy. You are sometimes boastful.

คนที่ชอบทานเงาะ
คุณเป็นคนขี้เล่น ชอบสนุกสนาน และชอบทำให้คนรอบข้างมีความสุข แต่บางครั้งอาจจะชอบคุยโวบ้าง

Watermelon
You are generous, mild and thoughtful. You are also easy-going and optimistic. You do not like to complain or be worried. Your weak point is the opposite sex. You are loved by friends.

คนที่ชอบทานแตงโม
คุณ เป็นคนที่ใจกว้าง อบอุ่น และช่างคิด(รอบคอบ) เข้ากับคนได้ง่าย และมองโลกในแง่ดี ไม่ชอบจุกจิกจู้จี้ ขี้บ่นหรือ กังวลใดๆ จุดอ่อนของคุณคือ เพศตรงข้าม คุณมักเป็นที่รักของเพื่อนๆเสมอ

Mangosteen
You are not sociable but romantic. You are also senstive and fall in love with someone easily. Mangosteen is really a fruit for a flirt.
คนที่ชอบทานมังคุด
คุณเป็นคนที่ไม่ชอบการเข้าสังคมแต่เป็นคนโรแมนติก มักเป็นคนอ่อนไหวและตกหลุมรักใครๆได้ง่าย จริงๆแล้วมังคุดเป็นผลไม้เพื่อการหยอกเอิน

Long Kong
You are contented and love traveling. You like adventure and are conservative.
คนที่ชอบทานลองกอง
คุณเป็นคนที่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ ชอบการท่องเที่ยว รักการผจญภัย และอนุรักษ์นิยม

Longan
Your words are sugar-coated and you like to flatter. Nevertheless, you tend to talk at somebody’s back.
คนที่ชอบทานลำไย
คุณเป็นคนปากหวานและชอบที่จะยกยอ แต่อย่างไรก็ตามคุณมักชอบที่จะพูดลับหลัง

Strawberry
You are humorous and make people around you laugh. You like to draw people’s attention when you talk or do anything. Your taste is quite good.
คนที่ชอบทานสตรอเบอร์รี่
คุณเป็นคนตลกขบขัน และทำให้คนรอบข้างได้หัวเราะ มักดึงความสนใจจากผู้อื่นเมื่อคุณพูดหรือทำสิ่งต่างๆ คุณเป็นคนที่รสนิยมค่อนข้างดี

Mango
You are flexible and active. You like to try new things and are a flirt.
คนที่ชอบทานมะม่วง
คุณเป็นคนที่มีความยืดหยุ่นและกระตือรือร้น ชอบลองสิ่งใหม่และชอบการหยอกเอิน

เสริมคำคุณศัพท์ (Adjective) ที่ใช้บอกบุคลิกลักษณะได้แก่

absent-minded = ใจลอย, ขี้หลงขี้ลืม
bad-tempered = อารมณ์เสีย, หงุดหงิด, โมโห
chicken-hearted= ขี้ขลาดตาขาว
cranky = เจ้าอารมณ์, แปลกประหลาด, Having a bad disposition
creepy = น่ากลัว, ร่ารังเกียจ, น่ารำคาญ, Of or producing a sensation of uneasiness or fear.
crusty = จู้จี้, ใจร้อน, Seemingly rough and surly in manner.
crybaby (n) = คนขี้แย, A person who cries or complains frequently with little cause.
cuckoo = คนโง่ หรือคนบ้า, Slang. A foolish or crazy person.
cunning = คนเจ้าเล่ห์, Skill in deception
curious = ชอบสอดรู้สอดเห็น, most often implies an avid desire to know or learn, though it can suggest an undue interest in the affairs of others
cursed = ชั่วร้าย, อัปรีย์, So wicked and detestable as to deserve to be cursed.
deep-rooted, deep-seated = ฝังลึก, ฝังแน่น, มั่นคง
dingy = มอซอ, Darkened with smoke and grime; dirty or discolored.
dodgy = เจ้าเล่ห์, ไม่น่าไว้ใจ ; unreliable
double-faced = ที่มีสองแง่, ที่ไม่ซื่อสัตย์, ใช้ได้ทั้งสองด้าน ; hypocritical
dowdy = เชย, ล้าสมัย Lacking stylishness or neatness; shabby: a dowdy gray outfit.
dressy = หรูหรา, ทันสมัย, ชอบแต่งตัว; Showy or elegant in dress or appearance.
drowsy = งัวเงีย, ไม่กระฉับกระเฉง, ครึ่งหลับครึ่งตื่น ; Dull with sleepiness; sluggish.
eagle-eyed = มีสายตาที่เฉียบคมและว่องไว
fair-minded = ยุติธรรม
fatty = อ้วนมาก, Characteristic of fat; greasy.
feeble-minded = ซึ่งมีสติปัญญาอ่อน, ซึ่งมีจิตใจอ่อนแอ
flashy = หรูหรา,อย่างโอ้อวด, ฉูดฉาด
frisky = สนุกสนาน, ร่าเริง, Energetic, lively, and playful: a frisky kitten.
fussy = จู้จี้, อารมณ์เสียง่าย, Easily upset; given to bouts of ill temper: a fussy baby.
gimlet-eyed = ซึ่งมีสายตาที่แหลมคม
goodhearted = จิตใจงาม
good-humored = อารมณ์ดี, เบิกบาน
good-natured = ซึ่งมีนิสัยดี, สุภาพ, อ่อนโยน, ซึ่งมีอารมณ์ดี
good-tempered = ซึ่งมีอารมณ์ดี
greathearted = ซึ่งมีจิตใจกล้าหาญ, ใจกว้าง, ไม่เห็นแก่ตัว
green-eyed = อิจฉา, ขี้หึง
grubby = สกปรก ; Dirty; grimy: grubby old work clothes.
grumpy = อารมณ์ไม่ดี ; Surly and peevish; cranky.
hard-bitten = หนังเหนียว
hawk-eyed = ตาแหลม
heart-to-heart = ตรงไปตรงมา, จริงใจและเปิดเผย
high-minded = ซึ่งมีคุณธรรมสูง
huffy = ซึ่งโกรธง่าย, หยิ่ง, Easily offended; Irritated or annoyed; indignant; Arrogant; haughty.
husky = กำยำ, แข็งแรง; rough in quality
hussy = หญิงเลว, A woman considered brazen or immoral.
kind-hearted = อย่างหวังดี, ซึ่งกรุณาปรานี
ladylike = มีลักษณะอย่างหญิงผู้ดี
large-hearted = ใจดี, เห็นอกเห็นใจ
large-minded = ใจกว้าง, เปิดกว้างทางความคิด
left-handed = ถนัดมือซ้าย, ไม่จริงใจ, น่าสงสัย (of doubtful sincerity) left-handed flattery; a left-handed compliment.
light-fingered = มือไว
lightheaded = ขี้ขโมย
lighthearted = ไม่มีความกังวล, สบายใจ
light-minded = ไม่เอาจริงเอาจัง, ตลกคะนอง, เหลวไหล
like-minded = มีความคิดเดียวกัน, เห็นด้วย, มีรสนิยมเดียวกัน
long-sighted = ซึ่งมองการณ์ไกล, สายตายาว
long-winded = (พูดมาก)น่าเบื่อ, พูด(เยิ่นเย้อ)
loose-tongued = พูดพล่อยๆ
lovesick = เป็นไข้ใจ
low-minded = มีจิตใจต่ำ, มีใจคอหยาบช้า
low-spirited = หดหู่ใจ, เศร้าโศก, เสียใจ
lynx-eyed = มีตาแหลมคม, มีตาไว
moody = เศร้า, อารมณ์ขุ่นมัว, ขึ้นๆลงๆ, Given to frequent changes of mood
muddleheaded = โง่, สับสน ; confused
naked = เปลือย, ล่อนจ้อน, ไม่บิดบัง, สิ้นเนื้อประดาตัว
narrow-minded = ใจแคบ, ดันทุรัง, มีอคติ
nasty = สกปรกมาก, น่าเกลียด, หยาบคาย, ลามก, ขุ่นเคือง,(บาดแผล)ฉกรรจ์, คนที่ร้ายกาจ, disgustingly dirty; morally offensive; malicious; spiteful:very unpleasant or annoying; painful or dangerous
natty = เรียบร้อย, โก้เก๋, ดูดี, กระฉับกระเฉง; Neat, trim, and smart; dapper.
old-fashioned = ล้าสมัย, คร่ำครึ, หัวโบราณ
one-sided = ฟังความข้างเดียว, ลำเอียง
openhanded = ใจกว้าง, มือเติบ
openhearted = ตรงไปตรงมา, เปิดเผย, ใจกว้าง, ใจดี
open-minded = เปิดกว้าง(ทางความคิด), ไม่อคติ
picky = (ภาษาพูด) จู้จี้, ชอบจับผิด, extremely careful and precise; fussy
piggy = (ภาษาพูด) ลูกหมู, a little pig
poky = โซ, เชื่องช้า, ปอน, คับแคบ, Dawdling; slow: a lazy, poky person.
poverty-stricken= ยากจนอย่างแสนสาหัส
practiced = ชำนาญ
pudgy = อ้วนและเตี้ย, Short and fat; chubby: pudgy fingers.
rattlebrained = โง่เง่า
right-handed = (ผู้ที่)ถนัดมือขวา
right-minded = มีความคิดเห็นที่ถูกต้องยุติธรรม
round-shouldered= หลังค่อม, หลังโกง
rowdy = คนหยาบคาย, อันธพาล, A rough, disorderly person.
scary = น่ากลัว, ขี้ตกใจ Causing fright or alarm. ; Easily scared; very timid.
secluded = สันโดษ, วิเวก, เปลี่ยว
self-centered = ถือตนเองเป็นใหญ่, เห็นแก่ตัว
shamefaced = ละอายใจ, กระดาก, ขี้อาย, ขวยเขิน
shameless = หน้าด้าน
sharp-eyed = มีสายตาแหลมคม, ช่างสังเกต, ละเอียดรอบคอบ
sharp-tougued = ปากจัด
short-handed = ซึ่งขาดคน
short-lived = มีอายุสั้น, ไม่จีรังยั่งยืน
shortsighted = สายตาสั้น, ซึ่งไม่นึกถึงอนาคตหรือไม่มองการณ์ไกล
short-spoken = ห้วน
short-tempered = ขี้โมโห, โกรธง่าย
short-winded = หายใจกระหืดกระหอบหรือถี่ๆ, ห้วน, ไม่ปะติดปะต่อ
simple-minded = โง่, สมองทึบ
single-handed = ด้วยตนเองคนเดียว, ไม่มีใครช่วยเหลือ, มีหรือใช้มือเดียว
single-minded = (ใจคอ)เด็ดเดี่ยว, มั่นคงแน่นอน S. dedicated
skimpy = ขี้เหนียว
skinny = ผอมจนเหลือแต่กระดูก ; very thin
small-minded = ใจแคบ
snappy = (ภาษาพูด) คล่องแคล่ว,โก้เก๋, เฉียบคม;(Informal) lively or energetic; brisk; smart or chic.
soft-hearted = ใจดี
soft-spoken = ที่พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน, ประจบสอพลอ
sophisticated = ไม่เป็นธรรมชาติ, เข้าสังคมเก่ง, ฉลาด, ไม่ธรรมดา
spirited = กล้าหาญ, องอาจ, ร่าเริง
spooky = (ภาษาพูด) เหมือนผี, น่ากลัว, ตกใจง่าย Suggestive of ghosts or a ghost
stiff-necked = คอแข็ง, ดื้อดึง, หยิ่งยโส, จองหอง
stocky = อ้วนเตี้ย, ล่ำ, ม่อต้อ ; chubby
stone-blinded = ตาบอดสนิท
stone-deaf = หูหนวกสนิท
strong-minded = เด็ดเดี่ยว, แน่วแน่
susceptible = ถูกชักจูงง่าย, หัวอ่อน, อ่อนไหว
tenderhearted = ใจอ่อน, เมตตา, กรุณา, สงสาร, เห็นใจ
thickskinned = หนังหนา, หน้าด้าน
thoughtful = ครุ่นคิด, ไตร่ตรอง, คำนึงถึง, เอาใจใส่
thoughtless = ไม่แยแส, ไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น, หยาบคาย, เลินเล่อ
tongue-tied = เขินอายจนไม่กล้าพูด, ประหม่าจนพูดไม่ออก
tricky = เจ้าเล่ห์, ขี้โกง ; sly
trustworthy = เชื่อถือได้, น่าไว้วางใจ
tubby = อ้วนเตี้ย, ม่อต้อ ; short and fat
unaware = ไม่รู้ตัว, ไม่คาดคิด
undetermined = ลังเล
uneducated = ไม่มีการศึกษา, ไม่ได้รับการศึกษา
unemployed = ตกงาน,ไม่มีงานทำ
vain = หลงตัวเอง, ไม่มีแก่นสาร
vicious = ชั่วช้า, เลวทราม, ดุร้าย, ร้ายกาจ
warm-hearted = มีไมตรี, ใจดี,มีเมตตา
wayward = เอาแต่ใจ, ดื้อดึง, ไม่เชื่อฟัง
weak-mined = โง่เขลา
weather-beaten = (หน้า, ผิว) คล้ำ เพราะตากแดดตากลม [/color]
weedy = ผอมโซ
well-balanced = มีสติ, รู้จักความพอดี, มีเหตุมีผล
well-being = ความผาสุก
well-done = ดีแล้ว, (เนื้อ)สุก
well-groomed = ประณีต
well-intentioned= มีเจตนาดี
well-mannered = สุภาพ, มีมารยาท
well-meaning = มีเจตนาดี
well-spoken = สุภาพเรียบร้อย
well-wisher = ผู้หวังดี
well-worn = สึกหรอ, เก่า, น่าเบื่อ, ซ้ำซาก
wholehearted = ด้วยความเต็มใจ, เต็มที่
wicked = เลวทราม, ชั่วร้าย, ร้ายกาจ, ดุร้าย, อยุติธรรม, น่าสะพรึงกลัว, โหดร้าย
wide-awake = ตื่นตัว
wide-eyed = เบิกตาด้วยความสงสัยหรือแปลกใจ, เชื่อคนง่าย, ซื่อ
worldly-wise = เจนจัด
world-weary = เบื่อโลก, เบื่อชีวิต

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ผัก 37 ชนิด (ต้องกินให้ได้) 37 kinds of vegetables (to eat it).

152457090238.jpg




         สิ่งดีๆมีประโยชน์ จึงบอกต่อครับ...@-@ผัก 37 ชนิด (ไม่กินไม่ได้แล้ว) 1. สะเดา ( Neem tree) มีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตา เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ 2. ผักกาดขาว ( Chinese white cabbage) ช่วยระบบย่อยอาหาร ขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลทสูงบำร...ุงคุณแม่ตั้งครรภ์ 3. ต้นหอม ( Shallot) มีน้ำมันหอมระเหย บรรเทาอาการหวัด มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง 4. แครอท ( Carrot) เบต้าแคโรทีนป้องกันโรคมะเร็ง มีแคลเซียม แพคเตท ลดระดับคลอเลสเตอรอลได้ 5. หอมหัวใหญ่ ( Onion) มีสารฟลาโวนอยด์ ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 6. คะน้า ( Chinese kale) มีแคลเซียมและสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรคกระดูกพรุน และมะเร็ง 7. พริก ( Chilli) มีแคปไซซินกระตุ้นการขยายตัวของหลอดเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ 8. กระเจี๊ย บ เขียว ( Okra) ลดความดันโลหิต บำรุงสมอง ลดอาการกระเพาะหรือลำไส้อักเสบ 9. ผักกระเฉด( Water mimosa) ดับพิษไข้ กากใยช่วยระบบขับของเสีย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร 10. ตำลึง ( Ivy gourd) มีวิตามินเอสูง ดีต่อดวงตา เส้นใยจับไนเตรต ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร 11. มะระ ( Chinese bitter cucumber) มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อน ๆ น้ำคั้นลดระดับน้ำตาลในเลือด 12. ผักบุ้ง ( Water spinach) บรรเทาอาการร้อนใน มีวิตามินเอบำรุงสายตา ธาตุเหล็กบำรุงเลือด 13. ขึ้นฉ่าย ( Celery) กลิ่นหอม ช่วยเจริญอาหาร มีวิตามินเอ บี และซี บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด 14. เห็ด ( Mushroom) แคลอรีน้อย ไขมันต่ำ มีวิตามินดีสูง ช่วยในการดูดซึมแคลเซียม เสริมกระดูกและฟัน 15. บัวบก ( Indian pennywort) มีวิตามินบีสูง ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย บำรุงสมองและความจำบำรุงผิวพรรณ ลดอาการอักเสบ 16. สะระแหน่ ( Kitchen mint) กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่น ทำให้ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัว 17.ชะพลู ( Cha-plu) รสชาติเผ็ดเล็กน้อย แก้จุกเสียด ขับเสมหะ มีแคลเซียมสูง 18. ชะอม ( Cha-om) ช่วยลดความร้อนในร่างกาย ขับลมในลำไส้ มีเส้นใยคอยจับ อนุมูลอิสระ 19. หัวปลี ( Banana flower) รสฝาด แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม มีกากใย โปรตีน และวิตามินซีสูง 20. กระเทียม ( Garlic) ลดไขมันในเลือด ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็กวิตามินซีสูง 21. โหระพา ( Sweet basil) น้ำมันหอมระเหยทำให้โล่งจมูก ช่วยระบายลม มีเบต้าแคโรทีนแคลเซียม 22. ขิง ( Ginger) บรรเทาอาการหวัดเย็น ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อน แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ 23. ข่า ( Galangal) น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบบย่อยอาหารขับลม มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา 24. กระชาย ( Wild ginger) บรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ มีวิตามินเอและแคลเซียม 25. ถั่วพู ( Winged bean) ให้คุณค่าทางอาหารสูง มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสาร ช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว 26. ดอกขจร ( Cowslip creeper) กระตุ้นให้รู้รสอาหาร ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน 27. ถั่วฝักยาว ( Long bean) มีเส้นใย ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด 28. มะเขือเทศ ( Tomato) มีวิตามินเอสูง วิตามินซี รสเปรี้ยว ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย และแก้อาการคอแห้ง 29. กะหล่ำปลี ( White cabbage) มีกลูโคซิโนเลท เมื่อแตกตัวจะเป็นสารต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง 30. มะเขือพวง ( Plate brush eggplant) ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลดความดันเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส 31. ผักชี ( Chinese paraley) ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร มีน้ำมันหอมระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง 32. กุยช่าย ( Flowering chives) มีกากใยช่วยระบายของเสีย มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง 33. ผักกาดหัว ( Chinese radish) แก้ไอ ขับเสมหะ เพิ่มภูมิต้านทางโรค มีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี 34. กะเพรา ( Holy basil) แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง มีเบต้าแคโรทีนสูง ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือดได้ 35. แมงลัก ( Hairy basil) ช่วยย่อยอาหาร ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ 36. ดอกแค ( Sesbania) กินแก้ไขช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง เป็นยาระบายอ่อน ๆ มีวิตามินเอสูงบำรุงสายตา 37. หญ้าอ่อน กินเพิ่มความคึกคัก ให้กระชุ่มกระช่วย หัวใจสูบฉีด สมองแจ่มใส อายุยืนยาว เหมาะกับ โค เฒ่า ลองดูคุณเท่านั้นที่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง...55555